พระสูตรที่เกี่ยวข้อง
มีความเพลิน คือมีอุปาทาน ผู้มีอุปาทานย่อมไม่ปรินิพพาน
ภิกษุทั้งหลาย !
ภิกษุนั้นย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งรูป.
เมื่อภิกษุนั้นเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งรูป,
ความเพลิน (นันทิ) ย่อมเกิดขึ้น
ความเพลินใด ในรูป, ความเพลินนั้นคืออุปาทาน...
ภิกษุทั้งหลาย !
ภิกษุนั้นย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งเวทนา.
เมื่อภิกษุนั้นเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งเวทนา,
ความเพลิน (นันทิ) ย่อมเกิดขึ้น
ความเพลินใด ในเวทนา, ความเพลินนั้นคืออุปาทาน...
ภิกษุทั้งหลาย !
ภิกษุนั้นย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งสัญญา.
เมื่อภิกษุนั้นเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งสัญญา
ความเพลิน (นันทิ) ย่อมเกิดขึ้น
ความเพลินใด ในสัญญา, ความเพลินนั้นคืออุปาทาน...
ภิกษุทั้งหลาย !
ภิกษุนั้นย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งสังขาร.
เมื่อภิกษุนั้นเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งสังขาร
ความเพลิน (นันทิ) ย่อมเกิดขึ้น
ความเพลินใด ในสังขาร, ความเพลินนั้นคืออุปาทาน...
ภิกษุทั้งหลาย !
ภิกษุนั้นย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งวิญญาณ.
เมื่อภิกษุนั้นเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งวิญญาณ
ความเพลิน (นันทิ) ย่อมเกิดขึ้น.
ความเพลินใด ในวิญญาณ, ความเพลินนั้นคืออุปาทาน
เพราะอุปาทานของภิกษุนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะอุปายาสทั้งหลายจึงเกิดขึ้นครบถ้วน
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.
อินทรียสังวร (ตามดู ! ไม่ตามไป...) หน้า 45-47
(ภาษาไทย): ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๓ /๒๘. คลิกดูพระสูตร
ตามแนวแห่งสัมมาสังกัปปะ
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุตรึกตามตรองตามถึงอารมณ์ใดๆ มาก จิตย่อมน้อมไป โดยอาการอย่างนั้นๆ :
ถ้าภิกษุตรึกตามตรองตามถึง กามวิตก มาก ก็เป็นอันว่า ละเนกขัมมวิตกเสีย
กระทำแล้วอย่างมากซึ่ง กามวิตก จิตของเธอนั้นย่อมน้อมไปเพื่อความตรึกในกาม
ถ้าภิกษุตรึกตามตรองตามถึง พ๎ยาปาทวิตก มาก ก็เป็นอันว่า ละอัพ๎ยาปาทวิตกเสีย กระทำแล้วอย่างมากซึ่ง พ๎ยาปาทวิตก จิตของเธอนั้นย่อมน้อมไปเพื่อความตรึกในการพยาบาท
ถ้าภิกษุตรึกตามตรองตามถึง วิหิงสาวิตก มาก ก็เป็นอันว่า ละอวิหิงสาวิตกเสีย
กระทำแล้วอย่างมากซึ่ง วิหิงสาวิตก จิตของเธอนั้นย่อมน้อมไปเพื่อความตรึกในการทำสัตว์ให้ลำบาก
ภิกษุทั้งหลาย !
เปรียบเหมือนในคราวฤดูสารท คือเดือนสุดท้ายแห่งฤดูฝน
คนเลี้ยงโคต้องเลี้ยงฝูงโคในที่แคบเพราะเต็มไปด้วยข้าวกล้า เขาต้องตีต้อนห้ามกันฝูงโคจากข้าวกล้านั้นด้วยท่อนไม้ เพราะเขาเห็นโทษ คือ การถูกประหาร การถูกจับกุม การถูกปรับไหม การติเตียน เพราะมีข้าวกล้านั้นเป็นเหตุ,
ข้อนี้ฉันใด; ภิกษุทั้งหลาย ! ถึงเราก็ฉันนั้น
ได้เห็นแล้วซึ่งโทษความเลวทรามเศร้าหมองแห่งอกุศลธรรมทั้งหลาย,
เห็นอานิสงส์ในการออกจากกาม
ความเป็นฝักฝ่ายของความผ่องแผ้วแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย.
ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียร มีตนส่งไปอย่างนี้ เนกขัมมวิตก ย่อมเกิดขึ้น ...
อัพ๎ยาปาทวิตก ย่อมเกิดขึ้น อวิหิงสาวิตก ย่อมเกิดขึ้น.
เราย่อมรู้แจ้งชัดว่า อวิหิงสาวิตกเกิดขึ้นแก่เราแล้ว
ก็อวิหิงสาวิตกนั้น ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตน
เบียดเบียนผู้อื่น หรือเบียดเบียนทั้งสองฝ่าย
แต่เป็นไปพร้อมเพื่อความเจริญแห่งปัญญา
ไม่เป็นฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น เป็นไปพร้อมเพื่อนิพพาน.
แม้เราจะตรึกตามตรองตามถึงอวิหิงสาวิตกนั้นตลอดคืน
ก็มองไม่เห็นภัยอันจะเกิดขึ้น เพราะอวิหิงสาวิตกนั้นเป็นเหตุ
แม้เราจะตรึกตามตรองตามถึงอวิหิงสาวิตกนั้น ตลอดวันหรือตลอดทั้งกลางคืนกลางวัน ก็มองไม่เห็นภัยอันจะเกิดขึ้นเพราะ อวิหิงสาวิตกนั้นเป็นเหตุ
ภิกษุทั้งหลาย !
ก็แต่ว่า เมื่อเราตรึกตามตรองตามนานเกินไปนัก กายก็เมื่อยล้า
เมื่อกายเมื่อยล้า จิตก็อ่อนเพลีย, เมื่อจิตอ่อนเพลีย จิตก็ห่างจากสมาธิ,
เพราะเหตุนั้น เราจึงดำรงจิตให้หยุดอยู่ในภายใน กระทำให้มีอารมณ์อันเดียวตั้งมั่นไว้.
ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?
เพราะเราประสงค์อยู่ว่าจิตของเราอย่าฟุ้งขึ้นเลย ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย !
ภิกษุตรึกตามตรองตามถึงอารมณ์ใดๆ มาก จิตย่อมน้อมไปโดยอาการอย่างนั้นๆ
ถ้าภิกษุตรึกตามตรองตามถึง เนกขัมมวิตกมาก
ก็เป็นอันว่าละกามวิตกเสีย กระทำแล้วอย่างมากซึ่งเนกขัมมวิตก
จิตของเธอนั้นย่อมน้อมไปเพื่อความตรึกในการออกจากกาม
ถ้าภิกษุตรึกตามตรองตามถึง อัพ๎ยาปาทวิตกมาก
ก็เป็นอันว่าละพ๎ยาปาทวิตกเสีย กระทำแล้วอย่างมากในอัพ๎ยาปาทวิตก
จิตของเธอนั้นย่อมน้อมไปเพื่อความตรึกในการไม่พยาบาท
ถ้าภิกษุตรึกตามตรองตามถึง อวิหิงสาวิตกมาก
ก็เป็นอันว่าละวิหิงสาวิตกเสีย กระทำแล้วอย่างมาก
จิตของเธอนั้นย่อมน้อมไป เพื่อความตรึกในการไม่ยังสัตว์ให้ลำบาก
ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนในเดือนสุดท้ายแห่งฤดูร้อน
ข้าวกล้าทั้งหมด เขาขนนำไปในบ้านเสร็จแล้ว
คนเลี้ยงโคพึงเลี้ยงโคได้. เมื่อเขาไปพักใต้ร่มไม้ หรือไปกลางทุ่งแจ้งๆ
พึงทำแต่ความกำหนดว่า นั่นฝูงโคดังนี้ (ก็พอแล้ว)ฉันนั้นเหมือนกัน.
หนังสืออินทรียสังวร (ตามดู ! ไม่ตามไป...)บทที่ 34 หน้า94
(ภาษาไทย) มู. ม. ๑๒/๑๖๐/๒๕๒. คลิกดูพระสูตร