บรรยายธรรมโดย พระอาจารย์ คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล
วัดนาป่าพง ลำลูกกา คลอง ๑๐ ปทุมธานี
ดาวน์โหลด : คลิกที่นี่
พระสูตรที่เกี่ยวข้อง
ผู้รู้ปฏิจจสมุปบาทแต่ละสายถึง “เหตุเกิด”และ “ความดับ” ทั้งปัจจุบัน อดีต อนาคตก็ชื่อว่าโสดาบัน
ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดง ซึ่งญาณวัตถุ ๗๗ อย่าง
แก่พวกเธอทั้งหลาย.พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น,
จงทำในใจให้สำเร็จประโยชน์, เราจักกล่าวบัดนี้.
ครั้นภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นทูลรับสนองพระพุทธดำรัสนั้นแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสถ้อยคำเหล่านี้ว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย !
ก็ ญาณวัตถุ ๗๗ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ? ญาณวัตถุ ๗๗ อย่างนั้น คือ :-
(หมวด ๑)
๑. ญาณ คือ ความรู้ว่า เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ;
๒. ญาณ คือ ความรู้ว่า เมื่อชาติไม่มี ชรามรณะ ย่อมไม่มี;
๓. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ;
๔. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เมื่อชาติไม่มี ชรามรณะย่อมไม่มี;
๕. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ;
๖. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เมื่อชาติไม่มี ชรามรณะย่อมไม่มี;
๗. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ ธัมมัฏฐิติญาณ. (ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ คือ ญาณเป็นไปตามหลักของปฏิจจสมุปบาท เป็นกรณีๆ ไป เช่น ในกรณีแห่งชาติ ดังที่กล่าวนี้เป็นต้น.)
ในกรณีนี้ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
(หมวด ๒)
๑. ญาณ คือ ความรู้ว่า เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ;
๒. ญาณ คือ ความรู้ว่า เมื่อภพไม่มี ชาติย่อมไม่มี;
๓. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ;
๔. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เมื่อภพไม่มี ชาติย่อมไม่มี;
๕. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ;
๖. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เมื่อภพไม่มี ชาติย่อมไม่มี;
๗. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้
ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
(หมวด ๓)
๑. ญาณ คือ ความรู้ว่า เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย
จึงมีภพ;
๒. ญาณ คือ ความรู้ว่า เมื่ออุปาทานไม่มี ภพย่อมไม่มี;
๓. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ;
๔. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เมื่ออุปาทานไม่มี ภพย่อมไม่มี;
๕. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ;
๖. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เมื่ออุปาทานไม่มี ภพย่อมไม่มี;
๗. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้
ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
(หมวด ๔)
๑. ญาณ คือ ความรู้ว่า เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมี
อุปาทาน;
๒. ญาณ คือ ความรู้ว่า เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานย่อมไม่มี;
๓. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปทาน;
๔. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานย่อมไม่มี;
๕. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน;
๖. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานย่อมไม่มี;
๗. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้
ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
(หมวด ๕)
๑. ญาณ คือ ความรู้ว่า เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมี
ตัณหา;
๒. ญาณ คือ ความรู้ว่า เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาย่อมไม่มี;
๓. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา;
๔. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาย่อมไม่มี;
๕. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา;
๖. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาย่อมไม่มี;
๗. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้
ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
(หมวด ๖)
๑. ญาณ คือ ความรู้ว่า เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมี
เวทนา;
๒. ญาณ คือ ความรู้ว่า เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาย่อมไม่มี;
๓. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
๔. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาย่อมไม่มี;
๕. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
๖. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาย่อมไม่มี;
๗. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้
ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
(หมวด ๗)
๑. ญาณ คือ ความรู้ว่า เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย
จึงมีผัสสะ;
๒. ญาณ คือ ความรู้ว่า เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะย่อมไม่มี;
๓. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ;
๔. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะย่อมไม่มี;
๕. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ;
๖. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะย่อมไม่มี;
๗. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้
ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
(หมวด ๘)
๑. ญาณ คือ ความรู้ว่า เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย
จึงมีสฬายตนะ;
๒. ญาณ คือ ความรู้ว่า เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะ
ย่อมไม่มี;
๓. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ;
๔. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะย่อมไม่มี;
๕. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ;
๖. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะย่อมไม่มี;
๗. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้
ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
(หมวด ๙)
๑. ญาณ คือ ความรู้ว่า เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย
จึงมีนามรูป;
๒. ญาณ คือ ความรู้ว่า เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปย่อมไม่มี;
๓. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป;
๔. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปย่อมไม่มี;
๕. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป;
๖. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปย่อมไม่มี;
๗. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้
ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
(หมวด ๑๐)
๑. ญาณ คือ ความรู้ว่า เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย
จึงมีวิญญาณ;
๒. ญาณ คือ ความรู้ว่า เมื่อสังขารทั้งหลายไม่มี
วิญญาณ ย่อมไม่มี;
๓. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ;
๔. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เมื่อสังขารทั้งหลายไม่มี วิญญาณย่อมไม่มี;
๕. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ;
๖. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เมื่อสังขารทั้งหลายไม่มี วิญญาณย่อมไม่มี;
๗. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้
ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
(หมวดที่ ๑๑)
๑. ญาณ คือ ความรู้ว่า เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย
จึงมีสังขารทั้งหลาย;
๒. ญาณ คือ ความรู้ว่า เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารทั้งหลาย
ย่อมไม่มี;
๓. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย;
๔. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารทั้งหลายย่อมไม่มี;
๕. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย;
๖. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารทั้งหลายย่อมไม่มี;
๗. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา.
ภิกษุทั้งหลาย ! เหล่านี้ เรียกว่า ญาณวัตถุ ๗๗อย่าง ดังนี้ แล.
พุทธวจน คู่มือโสดาบัน หน้า ๗๙.
(ภาษาไทย) นิทาน. สํ. ๑๖/๕๖/๑๒๖-๑๒๗. : คลิกดูพระสูตร