พระสูตรที่เกี่ยวข้อง
สิ้นตัณหา คือนิพพาน
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ที่เรียกว่า ‘สัตว์ สัตว์’ ดังนี้,
อันว่าสัตว์มีได้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรเล่า พระเจ้าข้า !
ราธะ ! ความพอใจอันใด ราคะอันใด นันทิอันใด ตัณหาอันใด
มีอยู่ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขารทั้งหลาย และในวิญญาณ
เพราะการติดแล้ว ข้องแล้ว ในสิ่งนั้นๆ เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า “สัตว์” ดังนี้.
ราธะ ! เปรียบเหมือนพวกกุมารน้อยๆ หรือกุมารีน้อยๆ เล่นเรือนน้อยๆ ที่ทำด้วยดินอยู่
ตราบใดเขายังมีราคะ มีฉันทะ มีความรัก มีความกระหาย มีความเร่าร้อน และมีตัณหา ในเรือนน้อยที่ทำด้วยดินเหล่านั้น ตราบนั้น พวกเด็กน้อยนั้นๆ ย่อมอาลัยเรือนน้อยที่ทำด้วยดินเหล่านั้น
ย่อมอยากเล่น ย่อมอยากมีเรือนน้อยที่ทำด้วยดินเหล่านั้น
ย่อมยึดถือเรือนน้อยที่ทำด้วยดินเหล่านั้น ว่าเป็นของเรา ดังนี้.
ราธะ ! แต่เมื่อใดแล พวกกุมารน้อยๆ หรือกุมารีน้อยๆ เหล่านั้น ปราศจากราคะแล้ว ปราศจากฉันทะแล้วปราศจากความรักแล้ว ปราศจากความเร่าร้อนแล้ว
ปราศจากตัณหาแล้วในเรือนน้อยที่ทำด้วยดินเหล่านั้นในกาลนั้น พวกเขาย่อมทำเรือนน้อยๆ ที่ทำด้วยดินเหล่านั้นให้กระจัดกระจายเรี่ยรายเกลื่อนกล่นไป กระทำให้จบการเล่นเสีย ด้วยมือและเท้าทั้งหลาย อุปมานี้ฉันใด.
ราธะ ! อุปไมยก็ฉันนั้น คือ :- แม้พวกเธอทั้งหลายจงเรี่ยรายกระจายออก
ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณจงขจัดเสียให้ถูกวิธี จงทำให้แหลกลาญโดยถูกวิธี
จงทำให้จบการเล่นให้ถูกวิธีจงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหาเถิด.
ราธะ ! เพราะว่า ความสิ้นไปแห่งตัณหานั้นคือ นิพพาน ดังนี้แล.
พุทธวจน ฉบับ ๑๑ ภพภูมิ ข้อ ๑๒๓ หน้า ๔๔๔
(ไทย) ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๙๑/๓๖๗: คลิกดูพระสูตร
(บาลี) ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๓๒/๓๖๗: คลิกดูพระสูตร