"กายออก จิตไม่ออก, กายไม่ออก จิตออก, กายไม่ออก จิตไม่ออก, กายออก จิตออก" หมายความว่าอย่างไร
พระสูตรที่เกี่ยวข้อง
ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคล๔จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก๔จำพวกเป็นไฉนคือ
บุคคลมีกายออกไปแล้วมีจิตยังไม่ออก๑
มีกายยังไม่ออกมีจิตออกไปแล้ว๑
มีกายยังไม่ออกด้วยมีจิตยังไม่ออกด้วย๑
มีกายออกไปแล้วด้วยมีจิตออกไปแล้วด้วย๑
ดูกรภิกษุทั้งหลายก็บุคคลเป็นผู้มีกายออกไปแล้วมีจิตยังไม่ออกไปอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้เสพเสนาสนะอันสงัดคือป่าและราวป่าเขาตรึกถึงกามวิตกบ้างตรึกถึงพยาบาทวิตกบ้างตรึกถึงวิหิงสาวิตกบ้างในเสนาสนะนั้นดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลเป็นผู้มีกายออกไปแล้วมีจิตยังไม่ออกอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลายก็บุคคลเป็นผู้มีกายยังไม่ออกไปมีจิตออกไปอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ไม่เสพเสนาสนะอันสงัดคือป่าและราวป่าเขาตรึกถึงเนกขัมมวิตกบ้างอัพยาบาทวิตกบ้างอวิหิงสาวิตกบ้างในที่นั้นดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลเป็นผู้มีกายยังไม่ออกไปมีจิตออกไปแล้วอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลายก็บุคคลเป็นผู้มีกายยังไม่ออกด้วยมีจิตยังไม่ออกด้วยอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ไม่เสพเสนาสนะอันสงัดคือป่าและราวป่าเขาตรึกถึงกามวิตกบ้างตรึกถึงพยาบาทวิตกบ้างตรึกถึงวิหิงสาวิตกบ้างดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลเป็นผู้มีกายยังไม่ออกด้วยมีจิตยังไม่ออกด้วยอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลายก็บุคคลเป็นผู้มีกายออกไปแล้วด้วยมีจิตออกไปแล้วด้วยอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้เสพเสนาสนะอันสงัดคือป่าและราวป่าเขาตรึกถึงเนกขัมมวิตกบ้างอัพยาบาทวิตกบ้างอวิหิงสาวิตกบ้างในเสนาสนะนั้นดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลเป็นผู้มีกายออกไปแล้วด้วยมีจิตออกไปแล้วด้วยอย่างนี้แลดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคล๔จำพวกนี้แลมีปรากฏอยู่ในโลกฯ
(ไทย)จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๓๖/๑๓๘. คลิกดูพระสูตร
(บาลี)จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๘๕/๑๓๘. คลิกดูพระสูตร
พระนครสาวัตถีฯลฯครั้งนั้นแลท่านพระมิคชาละเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับถวายอภิวาทแล้วนั่งณที่ควรส่วนข้างหนึ่งครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญที่พระองค์ตรัสว่าผู้มีปรกติอยู่ผู้เดียวผู้มีปรกติอยู่ผู้เดียวฉะนี้ด้วยเหตุเพียงเท่าไรพระเจ้าข้าภิกษุจึงชื่อว่ามีปรกติอยู่ผู้เดียวและด้วยเหตุเพียงเท่าไรภิกษุจึงชื่อว่าอยู่ด้วยเพื่อนสอง
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรมิคชาละรูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุอันน่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจให้เกิดความรักชักให้ใคร่ชวนให้กำหนัดมีอยู่ถ้าภิกษุยินดีกล่าวสรรเสริญหมกหมุ่นรูปนั้นอยู่เมื่อเธอยินดีกล่าวสรรเสริญหมกหมุ่นรูปนั้นอยู่ย่อมเกิดความเพลิดเพลินเมื่อมีความเพลิดเพลินก็มีความกำหนัดกล้าเมื่อมีความกำหนัดกล้าก็มีความเกี่ยวข้อง
ดูกรมิคชาละ ภิกษุผู้ประกอบด้วยความเพลิดเพลินและความเกี่ยวข้อง
เราเรียกว่าผู้มีปรกติอยู่ด้วยเพื่อนสองฯลฯ
ธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งด้วยใจอันน่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจให้เกิดความรักชักให้ใคร่ชวนให้กำหนัดมีอยู่ถ้าภิกษุยินดีกล่าวสรรเสริญหมกมุ่นธรรมารมณ์นั้นอยู่เมื่อเธอยินดีกล่าวสรรเสริญหมกมุ่นธรรมารมณ์นั้นอยู่ย่อมเกิดความเพลิดเพลินเมื่อมีความเพลิดเพลินก็มีความกำหนัดกล้าเมื่อมีความกำหนัดกล้าก็มีความเกี่ยวข้องดูกรมิคชาละภิกษุผู้ประกอบด้วยความเพลิดเพลินและความเกี่ยวข้องเราเรียกว่ามีปรกติอยู่ด้วยเพื่อนสอง
ดูกรมิคชาละภิกษุผู้มีปรกติอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ถึงจะเสพเสนาสนะอันสงัดคือป่าหญ้าและป่าไม้เงียบเสียงไม่อื้ออึงปราศจากลมแต่ชนเดินเข้าออกควรเป็นที่ประกอบกิจของมนุษย์ผู้ต้องการสงัดสมควรเป็นที่หลีกเร้นอยู่ก็จริงถึงอย่างนั้นก็ยังเรียกว่ามีปรกติอยู่ด้วยเพื่อนสอง
ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะผู้นั้นยังมีตัณหาเป็นเพื่อน๒เขายังละตัณหานั้นไม่ได้ฉะนั้นจึงเรียกว่ามีปรกติอยู่ด้วยเพื่อนสอง
(ไทย)สฬา. สํ. ๑๘/๓๔/๖๖ - ๖๗.คลิกดูพระสูตร
(บาลี)สฬา. สํ. ๑๘/๔๓/๖๖ - ๖๗.คลิกดูพระสูตร