เมื่อได้โสดาปัตติมรรคแล้วทำอย่างไรจึงจะได้โสดาปัตติผล
พระสูตรที่เกี่ยวข้อง
ภิกษุทั้งหลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยธรรม ๔ ประการนี้เองจึงเป็นพระโสดาบันผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดาเที่ยงแท้ต่อพระนิพพานเป็นผู้มีอันจะตรัสรู้ธรรมได้ในกาลเบื้องหน้า.
ธรรม ๔ ประการนั้นเป็นอย่างไร ? ๔ ประการนั้นคือ : -
(๑) ภิกษุทั้งหลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่นไม่หวั่นไหวในองค์พระพุทธเจ้าว่า เพราะเหตุอย่างนี้ๆพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นผู้ไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งวิชชาเป็นผู้ไปแล้วด้วยดีเป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้งเป็นผู้สามารถฝึกคนที่ควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่าเป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานด้วยธรรมเป็นผู้มีความจำเริญจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ดังนี้.
(๒) ภิกษุทั้งหลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่นไม่หวั่นไหวในองค์พระธรรมว่า พระธรรมเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว, เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง, เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล, เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด, เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว, เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตนดังนี้.
(๓) ภิกษุทั้งหลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่นไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ว่า สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้วเป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้วเป็นผู้ปฏิบัติให้รู้ธรรมเครื่องออกจากทุกข์แล้วเป็นผู้ปฏิบัติสมควรแล้วอันได้แก่บุคคลเหล่านี้คือคู่แห่งบุรุษสี่คู่นับเรียงตัวได้แปดบุรุษ. นั่นแหละคือสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชาเป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับเป็นสงฆ์ควรรับทักษิณาทานเป็นสงฆ์ที่บุคคลทั่วไปจะพึงทำอัญชลีเป็นสงฆ์ที่เป็นนาบุญของโลกไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่าดังนี้.
(๔) ภิกษุทั้งหลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยศีลทั้งหลายชนิดเป็นที่พอใจของเหล่าอริยเจ้า : เป็นศีลที่ไม่ขาดไม่ทะลุไม่ด่างไม่พร้อยเป็นศีลที่เป็นไทจากตัณหาเป็นศีลที่ผู้รู้ท่านสรรเสริญเป็นศีลที่ทิฏฐิไม่ลูบคลำและเป็นศีลที่เป็นไปเพื่อสมาธิดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยธรรม ๔ ประการนี้แลชื่อว่าเป็นพระโสดาบันผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดาเที่ยงแท้ต่อพระนิพพานเป็นผู้มีอันจะตรัสรู้ธรรมได้ในกาลเบื้องหน้า.
คู่มือโสดาบัน หน้า๔
(ไทย) มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๔๕/๑๔๑๔-๑๔๑๕:คลิกดูพระสูตร
(บาลี) มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๙/๑๔๑๔-๑๔๑๕:คลิกดูพระสูตร
ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ญาณวัตถุ๔๔อย่างเป็นอย่างไรเล่า ? ญาณวัตถุ๔๔อย่างคือ :-
(หมวด๑) ๑. ญาณคือความรู้ในชรามรณะ; ๒. ญาณคือความรู้ในเหตุให้เกิดขึ้นแห่งชรามรณะ; ๓. ญาณคือความรู้ในความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะ; ๔. ญาณคือความรู้ในข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะ;
(หมวด๒) ๑. ญาณคือความรู้ในชาติ; ๒. ญาณคือความรู้ในเหตุให้เกิดขึ้นแห่งชาติ; ๓. ญาณคือความรู้ในความดับไม่เหลือแห่งชาติ; ๔. ญาณคือความรู้ในข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งชาติ;
(หมวด๓) ๑. ญาณคือความรู้ในภพ; ๒. ญาณคือความรู้ในเหตุให้เกิดขึ้นแห่งภพ; ๓. ญาณคือความรู้ในความดับไม่เหลือแห่งภพ; ๔. ญาณคือความรู้ในข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งภพ;
(หมวด๔) ๑. ญาณคือความรู้ในอุปาทาน; ๒. ญาณคือความรู้ในเหตุให้เกิดขึ้นแห่งอุปาทาน; ๓. ญาณคือความรู้ในความดับไม่เหลือแห่งอุปาทาน; ๔. ญาณคือความรู้ในข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งอุปาทาน;
(หมวด๕) ๑. ญาณคือความรู้ในตัณหา; ๒. ญาณคือความรู้ในเหตุให้เกิดขึ้นแห่งตัณหา; ๓. ญาณคือความรู้ในความดับไม่เหลือแห่งตัณหา; ๔. ญาณคือความรู้ในข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งตัณหา;
(หมวด๖) ๑. ญาณคือความรู้ในเวทนา; ๒. ญาณคือความรู้ในเหตุให้เกิดขึ้นแห่งเวทนา; ๓. ญาณคือความรู้ในความดับไม่เหลือแห่งเวทนา; ๔. ญาณคือความรู้ในข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งเวทนา;
(หมวด๗) ๑. ญาณคือความรู้ในผัสสะ; ๒. ญาณคือความรู้ในเหตุให้เกิดขึ้นแห่งผัสสะ; ๓. ญาณคือความรู้ในความดับไม่เหลือแห่งผัสสะ; ๔. ญาณคือความรู้ในข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งผัสสะ;
(หมวด๘) ๑. ญาณคือความรู้ในสฬายตนะ; ๒. ญาณคือความรู้ในเหตุให้เกิดขึ้นแห่งสฬายตนะ; ๓. ญาณคือความรู้ในความดับไม่เหลือแห่งสฬายตนะ; ๔. ญาณคือความรู้ในข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งสฬายตนะ;
(หมวด๙) ๑. ญาณคือความรู้ในนามรูป; ๒. ญาณคือความรู้ในเหตุให้เกิดขึ้นแห่งนามรูป; ๓. ญาณคือความรู้ในความดับไม่เหลือแห่งนามรูป; ๔. ญาณคือความรู้ในข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งนามรูป;
(หมวด๑๐) ๑. ญาณคือความรู้ในวิญญาณ; ๒. ญาณคือความรู้ในเหตุให้เกิดขึ้นแห่งวิญญาณ; ๓. ญาณคือความรู้ในความดับไม่เหลือแห่งวิญญาณ; ๔. ญาณคือความรู้ในข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งวิญญาณ;
(หมวด๑๑)
๑. ญาณคือความรู้ในสังขารทั้งหลาย; ๒. ญาณคือความรู้ในเหตุให้เกิดขึ้นแห่งสังขาร; ๓. ญาณคือความรู้ในความดับไม่เหลือแห่งสังขาร; ๔. ญาณคือความรู้ในข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งสังขาร
ภิกษุทั้งหลาย ! เหล่านี้เรียกว่าญาณวัตถุ ๔๔ อย่าง.
(ไทย)นิทาน. สํ. ๑๖/๕๒-๕๕/๑๑๘-๑๒๕ :คลิกดูพระสูตร
(บาลี)นิทาน. สํ. ๑๖/๖๗-๗๐/๑๑๘-๑๒๕ :คลิกดูพระสูตร
ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ญาณวัตถุ๗๗อย่างเป็นอย่างไรเล่า ? ญาณวัตถุ๗๗อย่างนั้นคือ :-
(หมวด๑) ๑. ญาณคือความรู้ว่าเพราะมีชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรามรณะ; ๒. ญาณคือความรู้ว่าเมื่อชาติไม่มีชรามรณะย่อมไม่มี; ๓. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเพราะมีชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรามรณะ; ๔. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเมื่อชาติไม่มีชรามรณะย่อมไม่มี; ๕. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเพราะมีชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรามรณะ; ๖. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเมื่อชาติไม่มีชรามรณะย่อมไม่มี; ๗. ญาณคือความรู้ว่าแม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้ก็มีความสิ้นไปเสื่อมไปจางไปดับไปเป็นธรรมดา;
(หมวด๒) ๑. ญาณคือความรู้ว่าเพราะมีภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ; ๒. ญาณคือความรู้ว่าเมื่อภพไม่มีชาติย่อมไม่มี; ๓. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเพราะมีภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ; ๔. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเมื่อภพไม่มีชาติย่อมไม่มี; ๕. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเพราะมีภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ; ๖. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเมื่อภพไม่มีชาติย่อมไม่มี; ๗. ญาณคือความรู้ว่าแม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้ก็มีความสิ้นไปเสื่อมไปจางไปดับไปเป็นธรรมดา;
(หมวด๓) ๑. ญาณคือความรู้ว่าเพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ; ๒. ญาณคือความรู้ว่าเมื่ออุปาทานไม่มีภพย่อมไม่มี; ๓. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ; ๔. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเมื่ออุปาทานไม่มีภพย่อมไม่มี; ๕. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ; ๖. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเมื่ออุปาทานไม่มีภพย่อมไม่มี; ๗. ญาณคือความรู้ว่าแม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้ก็มีความสิ้นไปเสื่อมไปจางไปดับไปเป็นธรรมดา;
(หมวด๔) ๑. ญาณคือความรู้ว่าเพราะมีตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน; ๒. ญาณคือความรู้ว่าเมื่อตัณหาไม่มีอุปาทานย่อมไม่มี; ๓. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเพราะมีตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปทาน; ๔. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเมื่อตัณหาไม่มีอุปาทานย่อมไม่มี; ๕. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเพราะมีตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน; ๖. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเมื่อตัณหาไม่มีอุปาทานย่อมไม่มี; ๗. ญาณคือความรู้ว่าแม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้ก็มีความสิ้นไปเสื่อมไปจางไปดับไปเป็นธรรมดา;
(หมวด๕) ๑. ญาณคือความรู้ว่าเพราะมีเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา; ๒. ญาณคือความรู้ว่าเมื่อเวทนาไม่มีตัณหาย่อมไม่มี; ๓. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเพราะมีเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา; ๔. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเมื่อเวทนาไม่มีตัณหาย่อมไม่มี; ๕. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเพราะมีเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา; ๖. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเมื่อเวทนาไม่มีตัณหาย่อมไม่มี; ๗. ญาณคือความรู้ว่าแม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้ก็มีความสิ้นไปเสื่อมไปจางไปดับไปเป็นธรรมดา;
(หมวด๖) ๑. ญาณคือความรู้ว่าเพราะมีผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา; ๒. ญาณคือความรู้ว่าเมื่อผัสสะไม่มีเวทนาย่อมไม่มี; ๓. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเพราะมีผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา; ๔. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเมื่อผัสสะไม่มีเวทนาย่อมไม่มี; ๕. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเพราะมีผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา; ๖. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเมื่อผัสสะไม่มีเวทนาย่อมไม่มี; ๗. ญาณคือความรู้ว่าแม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้ก็มีความสิ้นไปเสื่อมไปจางไปดับไปเป็นธรรมดา;
(หมวด๗) ๑. ญาณคือความรู้ว่าเพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ; ๒. ญาณคือความรู้ว่าเมื่อสฬายตนะไม่มีผัสสะย่อมไม่มี; ๓. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ; ๔. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเมื่อสฬายตนะไม่มีผัสสะย่อมไม่มี; ๕. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ; ๖. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเมื่อสฬายตนะไม่มีผัสสะย่อมไม่มี; ๗. ญาณคือความรู้ว่าแม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้ก็มีความสิ้นไปเสื่อมไปจางไปดับไปเป็นธรรมดา;
(หมวด๘) ๑. ญาณคือความรู้ว่าเพราะมีนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ; ๒. ญาณคือความรู้ว่าเมื่อนามรูปไม่มีสฬายตนะย่อมไม่มี; ๓. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเพราะมีนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ; ๔. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเมื่อนามรูปไม่มีสฬายตนะย่อมไม่มี; ๕. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเพราะมีนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ; ๖. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเมื่อนามรูปไม่มีสฬายตนะย่อมไม่มี; ๗. ญาณคือความรู้ว่าแม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้ก็มีความสิ้นไปเสื่อมไปจางไปดับไปเป็นธรรมดา;
(หมวด๙) ๑. ญาณคือความรู้ว่าเพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป; ๒. ญาณคือความรู้ว่าเมื่อวิญญาณไม่มีนามรูปย่อมไม่มี; ๓. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป; ๔. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเมื่อวิญญาณไม่มีนามรูปย่อมไม่มี; ๕. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป; ๖. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเมื่อวิญญาณไม่มีนามรูปย่อมไม่มี; ๗. ญาณคือความรู้ว่าแม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้ก็มีความสิ้นไปเสื่อมไปจางไปดับไปเป็นธรรมดา;
(หมวด๑๐) ๑. ญาณคือความรู้ว่าเพราะมีสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ; ๒. ญาณคือความรู้ว่าเมื่อสังขารทั้งหลายไม่มีวิญญาณย่อมไม่มี; ๓. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเพราะมีสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ; ๔. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเมื่อสังขารทั้งหลายไม่มีวิญญาณย่อมไม่มี; ๕. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเพราะมีสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ; ๖. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเมื่อสังขารทั้งหลายไม่มีวิญญาณย่อมไม่มี; ๗. ญาณคือความรู้ว่าแม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้ก็มีความสิ้นไปเสื่อมไปจางไปดับไปเป็นธรรมดา;
(หมวดที่๑๑) ๑. ญาณคือความรู้ว่าเพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขารทั้งหลาย; ๒. ญาณคือความรู้ว่าเมื่ออวิชชาไม่มีสังขารทั้งหลายย่อมไม่มี; ๓. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขารทั้งหลาย; ๔. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเมื่ออวิชชาไม่มีสังขารทั้งหลายย่อมไม่มี; ๕. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขารทั้งหลาย; ๖. ญาณคือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเมื่ออวิชชาไม่มีสังขารทั้งหลายย่อมไม่มี; ๗. ญาณคือความรู้ว่าแม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้ก็มีความสิ้นไปเสื่อมไปจางไปดับไปเป็นธรรมดา.
ภิกษุทั้งหลาย ! เหล่านี้เรียกว่าญาณวัตถุ๗๗อย่างดังนี้แล.
(ไทย) นิทาน. สํ. ๑๖/๕๓-๕๖/๑๒๖-๑๒๗:คลิกดูพระสูตร
(บาลี) นิทาน. สํ. ๑๖/๖๗-๗๐/๑๒๖-๑๒๗: คลิกดูพระสูตร
ภิกษุทั้งหลาย
๑. ภิกษุเป็นผู้มีสัญญาว่าปฏิกูลในสิ่งไม่ปฏิกูลตามกาลอันควรอยู่เป็นความถูกต้อง.
๒. ภิกษุเป็นผู้มีสัญญาว่าไม่ปฏิกูลในสิ่งปฏิกูลตามกาลอันควรอยู่เป็นความถูกต้อง.
๓. ภิกษุเป็นผู้มีสัญญาว่าปฏิกูลทั้งในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลและสิ่งปฏิกูล ตามกาลอันควรอยู่เป็นความถูกต้อง.
๔. ภิกษุเป็นผู้มีสัญญาว่าไม่ปฏิกูลทั้งในสิ่งปฏิกูลและสิ่งไม่ปฏิกูลตามกาลอันควรอยู่เป็นความถูกต้อง.
๕. ภิกษุเว้นขาดจากความรู้สึกว่าสิ่งไม่ปฏิกูลและสิ่งปฏิกูลเสียทั้งสองอย่างเป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะตามกาลอันควรอยู่เป็นความถูกต้อง
...............
๑. ภิกษุท ! เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไรเล่าภิกษุจึงเป็นผู้มีสัญญาว่าปฏิกูลในสิ่งไม่ปฏิกูลอยู่?
ภิกษุท ! เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์ข้อนี้ว่า "ราคะอย่าบังเกิดขึ้นแก่เราในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งราคะ" ดังนี้ภิกษุจึงเป็นผู้มีสัญญาว่าปฏิกูลในสิ่งไม่ปฏิกูลอยู่
๒. ภิกษุท ! เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไรเล่าภิกษุจึงเป็นผู้มีสัญญาว่าไม่ปฏิกูลในสิ่งปฏิกูลอยู่?
ภิกษุท ! เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์ข้อนี้ว่า "โทสะอย่าบังเกิดขึ้นแก่เราในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งโทสะ" ดังนี้ภิกษุจึงเป็นผู้มีสัญญาว่าไม่ปฏิกูลในสิ่งปฏิกูลอยู่
๓. ภิกษุท ! เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไรเล่าภิกษุจึง
เป็นผู้มีสัญญาว่าปฏิกูลในสิ่งไม่ปฏิกูลและปฏิกูลอยู่?
ภิกษุท ! เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์ข้อนี้ว่า "ราคะอย่าบังเกิดขึ้นแก่เราในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งราคะโทสะก็อย่าบังเกิดขึ้นแก่เราในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งโทสะ" ดังนี้ ภิกษุจึงเป็นผู้มีสัญญาว่าไม่ปฏิกูลทั้งในสิ่งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลอยู่.
๔. ภิกษุท ! เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไรเล่าภิกษุจึงเป็นผู้มีสัญญาว่า ไม่ปฏิกูลทั้งในสิ่งปฏิกูลและสิ่งไม่
ปฏิกูลอยู่?
ภิกษุท ! เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์ข้อนี้ว่า “โทสะอย่าบังเกิดขึ้นแก่เราในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งโทสะ
ราคะก็อย่าบังเกิดขึ้นแก่เราในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งราคะ” ดังนี้ภิกษุจึงเป็นผู้มีสัญญาว่าไม่ปฏิกูลทั้งในสิ่งปฏิกูลและสิ่งไม่ปฏิกูลอยู่ .
๕. ภิกษุท ! ภิกษุท ! เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไรเล่าภิกษุจึงเว้นขาดความรู้สึกว่าสิ่งไม่ปฏิกูลและสิ่งปฏิกูลเสียทั้งสองอย่างเป็นผู้อยู่อุเบกขามีสติสัมปชัญญะอยู่?
ภิกษุท ! เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์ข้อนี้ว่า "ราคะอย่าบังเกิดขึ้นแก่เราในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งราคะในส่วนไหนๆในที่ไรๆชนิดไรๆ. โทสะก็อย่าบังเกิดขึ้นแก่เราในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งโทสะในส่วนไหนๆในที่ไรๆชนิดไรๆ โมหะก็อย่าบังเกิดขึ้นแก่เราในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งโมหะในส่วนไหนๆในที่ไรๆ ชนิดไรๆ” ดังนี้ภิกษุจึงเว้นขาดจากความรู้สึกว่าสิ่งไม่ปฏิกูลและสิ่งปฏิกูลเสียทั้งสองอย่างเป็นผู้อยู่อุเบกขามีสติสัมปชัญญะอยู่, ดังนี้แล.
(ไทย) ปญจก.อํ ๒๒/๑๕๒/๑๔๔:คลิกดูพระสูตร
(บาลี) ปญจก.อํ ๒๒/๑๘๙/๑๔๔:คลิกดูพระสูตร