ในสมัยพุทธกาลก็เคยมีอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ทำไมเราไม่ใช้เรื่องนี้เพื่อดึงให้คนเข้ามาศึกษาอริยสัจ ๔
พระสูตรที่เกี่ยวข้อง
สุสิมะ! เธอเห็นไหมว่าชรามรณะมีเพราะชาติเป็นปัจจัย ? "อย่างนั้นพระเจ้าข้า!"
สุสิมะ เธอเห็นไหมว่าชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ? "อย่างนั้นพระเจ้าข้า!"
สุสิมะ! เธอเห็นไหมว่าภพมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ? "อย่างนั้นพระเจ้าข้า!"
สุสิมะ! เธอเห็นไหมว่าอุปาทานมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย ? "อย่างนั้นพระเจ้าข้า!"
สุสิมะเธอเห็นไหมว่าตัณหามีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย ? "อย่างนั้นพระเจ้าข้า!"
สุสิมะ! เธอเห็นไหมว่าเวทนามีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ? "อย่างนั้นพระเจ้าข้า!"
สุสิมะ ! เธอเห็นไหมว่าผัสสะมีเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ? "อย่างนั้นพระเจ้าข้า!"
สุสิมะ ! เธอเห็นไหมว่าสฬายตนะมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย ? "อย่างนั้นพระเจ้าข้า!"
สุสิมะ ! เธอเห็นไหมว่านามรูปมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ? "อย่างนั้นพระเจ้าข้า!"
สุสิมะ ! เธอเห็นไหมว่าวิญญาณมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย ? "อย่างนั้นพระเจ้าข้า!"
สุสิมะ ! เธอเห็นไหมว่าสังขารทั้งหลายมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย? "อย่างนั้นพระเจ้าข้า!"
(ต่อไปได้ตรัสชักนำให้เห็นปฏิจจสมุปบาทฝ่ายนิโรธวาร โดยรูปแบบแห่งถ้อยคำอย่างเดียวกับข้อความข้างบนนี้ครบทั้ง ๑๑ อาการแล้วได้ตรัสว่า
สุสิมะ ! เมื่อรู้อยู่อย่างนี้เห็นอยู่อย่างนี้เธอยังจำเป็นที่จะต้องทำ ให้มีอิทธิวิธีมีอย่างต่างๆอยู่อีกหรือคือคนเดียวแปลงรูปเป็นหลายคน, หลายคนเป็นคนเดียว, ....ฯลฯ.... และแสดงอำนาจทางกายเป็นไปตลอดถึงพรหมโลกได้ดังนี้. "ข้อนั้นหามิได้พระเจ้าข้า !"
สุสิมะ ! เมื่อรู้อยู่อย่างนี้เห็นอยู่อย่างนี้เธอยังจำเป็นที่จะต้องทำ ให้มีทิพพโสตอยู่อีกหรือคือมีโสตธาตุอันเป็นทิพย์ ....ฯลฯ.... ทั้งที่ไกลและที่ใกล้ดังนี้. "ข้อนั้นหามิได้พระเจ้าข้า ! "
สุสิมะ ! เมื่อรู้อยู่อย่างนี้เห็นอยู่อย่างนี้เธอยังจำเป็นที่จะต้องทำให้มีเจโตปริยญาณอยู่อีกหรือ คือกำหนดรู้ใจแห่งสัตว์อื่น ....ฯลฯ...จิตไม่หลุดพ้นว่าไม่หลุดพ้นดังนี้. "ข้อนั้นหามิได้พระเจ้าข้า ! "
สุลิมะ ! เมื่อรู้อยู่อย่างนี้เห็นอยู่อย่างนี้เธอยังจำเป็นที่จะต้องทำให้มีปุพเพนิวาสานุสสติญาณอยู่อีกหรือ คือระลึกได้ถึงขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยในภพก่อนมีอย่างต่างๆ ....ฯลฯ.... พร้อมทั้งอาการและอุทเทสด้วยอาการอย่างนี้ดังนี้. "ข้อนั้นหามิได้พระเจ้าข้า ! สุลิมะ ! เมื่อรู้อยู่อย่างนี้เห็นอยู่อย่างนี้เธอยังจำเป็นที่จะต้องทำให้มีทิพพจักขุญาณอยู่อีกหรือ คือมีจักษุอันเป็นทิพย์บริสุทธิ์หมดจดล่วงจักษุของสามัญมนุษย์ ....ฯลฯ.... รู้ชัดหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมได้ดังนี้. "ข้อนั้นหามิได้พระเจ้าข้า ! สุลิมะ! เมื่อรู้อยู่อย่างนี้เห็นอยู่อย่างนี้เธอยังจำเป็นที่จะต้องทำให้มีอารุปปวิโมกข์อยู่อีกหรือ คือวิโมกข์เหล่าใดอันสงบรำงับเป็นอรูปเพราะก้าวล่วงรูปเสียได้ เธอถูกต้องวิโมกข์เหล่านั้นด้วยนามกายแล้วแลอยู่ดังนี้ "ข้อนั้นหามิได้พระเจ้าข้า ! สุสิมะ ! คราวนี้, คำพูดอย่างโน้นของเธอกับการที่ ( เธอกล่าวบัดนี้ว่า ) ไม่ต้องมีการบรรลุถึงอภิญญาธรรมทั้งหลายเหล่านี้ก็ได้,ในกรณีนี้นี้เราจะว่าอย่างไรกัน (ไทย) นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๓/๒๙๔-๓๐๒.
: คลิกดูพระสูตร (บาลี) นิทาน. สํ. ๑๖/๑๕๔/๒๙๔-๓๐๒.
: คลิกดูพระสูตร
[๓๓] ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้นแล้วทรงสอบถามท่านพระปิณโฑลภารทวาชะว่าภารทวาชะข่าวว่า เธอปลดบาตรของราชคหเศรษฐีลงจริงหรือท่านพระปิณโฑลภารทวาชะทูลรับว่าจริง พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่าภารทวาชะการกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะไม่สม ไม่ควรไม่ใช่กิจของสมณะใช้ไม่ได้ไม่ควรทำไฉนเธอจึงได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรม อันยวดยิ่งของมนุษย์แก่พวกคฤหัสถ์เพราะเหตุแห่งบาตรไม้ซึ่งเป็นดุจซากศพเล่ามาตุคาม แสดงของลับเพราะเหตุแห่งทรัพย์ซึ่งเป็นดุจซากศพแม้ฉันใดเธอก็ฉันนั้นเหมือนกันได้แสดง อิทธิปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์แก่พวกคฤหัสถ์เพราะเหตุแห่งบาตรไม้ซึ่งเป็น ดุจซากศพการกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชน ที่ยังไม่เลื่อมใส ... ครั้นแล้ว ทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงแสดงอิทธิปาฎิหาริย์ซึ่ง เป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์แก่พวกคฤหัสถ์รูปใดแสดงต้องอาบัติทุกกฏ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงทำลายบาตรไม้นั่นบดให้ละเอียดใช้เป็นยาหยอดตาของภิกษุทั้งหลายอนึ่งภิกษุไม่พึง ใช้บาตรไม้รูปใดใช้ต้องอาบัติทุกกฏฯ (ไทย) จุลฺล.วิ ๗/๑๑/๓๓:คลิกดูพระสูตร
(บาลี) จุลฺล.วิ ๗/๑๕/๓๓:คลิกดูพระสูตร