สัตตานัง คืออะไร
พระสูตรที่เกี่ยวข้อง
มิจฉาทิฏฐิเรื่องวิญญาณ
สาติ ! จริงหรือ ตามที่ได้ยินว่า เธอมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ว่า
“เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่าวิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมแล่นไป ท่องเที่ยวไป หาใช่สิ่งอื่นไม่” ดังนี้ ?
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้า พระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงแล้วเช่นนั้นว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมแล่นไป ท่องเที่ยวไป หาใช่สิ่งอื่นไม่ ดังนี้ “
สาติ ! วิญญาณนั้นเป็นอย่างไร ?
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! สภาวะที่ย่อมพูดได้ รู้สึกได้ (ต่อเวทนา) ย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมดี กรรมชั่วทั้งหลาย ในภพนั้นๆ.”
โมฆบุรุษ ! เธอรู้ทั่วถึงธรรมที่เราแสดงแล้วอย่างนี้ เมื่อแสดงแก่ใครเล่า ?
โมฆบุรุษ ! เรากล่าวว่า วิญญาณเป็นปฏิจจสมุปปันธรรม (สิ่งที่อาศัยปัจจัยแล้วเกิดขึ้น) โดยปริยายเป็นอันมาก ถ้าเว้นจากปัจจัยแล้ว ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ ย่อมมีไม่ได้ ดังนี้.
โมฆบุรุษ ! ก็ เมื่อเป็นดังนั้น เธอย่อมชื่อว่า กล่าวตู่เราด้วยถ้อยคำที่ตนเองถือเอาผิดด้วย ย่อมขุดตนด้วย ย่อมประสบสิ่งที่มิใช่บุญเป็นอันมากด้วย
โมฆบุรุษ ! ข้อนั้น จักเป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เป็นไป เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูลแก่เธอตลอดกาลนาน ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร ภิกษุสาติเกวัฏฏบุตรนี้ ยังจะพอนับว่าเป็น ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บ้างหรือไม่ ?
“ข้อนี้ จะเป็นไปได้อย่างไร ข้อนี้หามิได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
(ตรัสกับสาติเกวัฏฏบุตร)
โมฆบุรุษ ! เธอจักปรากฏด้วยทิฏฐิอันลามกของตนเองนั้นเถิด เราจักสอบถาม
ภิกษุทั้งหลายในที่นี้ … (ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุทั้งหลาย … แล้วแสดงธรรมการเกิด แห่งวิญญาณ โดยอาการแห่งปฏิจจสมุปบาท)
อริยสัจจากพระโอษฐ์ภาคปลาย หน้า ๑๐๐๖
(ภาษาไทย) มู. ม. ๑๒/๓๓๒/๔๔๒-๔๔๓. : คลิกดูพระสูตร
สัตว์ต้องเวียนว่ายเพราะไม่เห็นอริยสัจ
ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนทอนไม อันบุคคลซัดขึ้นไปสูอากาศ บางคราวตกเอาโคนลง บางคราวตกเอาตอนกลางลง บางคราวตกเอาปลายลง, ขอนี้ฉันใด ;
ภิกษุทั้งหลาย ! สัตว์ที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก แล่นไปอยู่
ท่อง เที่ยวไปอยู่ในสังสารวัฏ ก็ทํานองเดียวกัน บางคราวแลนไปจากโลกนี้สูโลกอื่น บางคราวแลนจากโลกอื่นสูโลกนี้. ขอนั้นเพราะเหตุไรเลา ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ขอนั้น เพราะความที่เขา เป็นผู้ไม่เห็นซึ่งอริยสัจทั้งสี่.
อริยสัจสี่ อยางไรเลา ? สี่อยาง คือ
อริยสัจ คือ ทุกข
อริยสัจ คือ เหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข
อริยสัจ คือ ความดับไมเหลือแหงทุกข
อริยสัจ คือ ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข.
เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรม อันเป็นเครื่องกระทําให้รู้ว่า “ทุกข เปนอยางนี้, เหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข เปนอยางนี้, ความดับไมเหลือแหงทุกข
เปนอยางนี้, ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้.” ดังนี้.
อริยสัจจากพระโอษฐ์ภาคต้น หน้า ๙๗.
(ภาษาไทย) มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๓๕/๑๗๑๖. : คลิกดูพระสูตร
ทางไปของสัตว (ที่นําไปสูภพ)
สารีบุตร ! คติ ๕ ประการ เหลานี้ มีอยู. ๕ ประการ อยางไรเลา ? คือ :-
(๑) นรก (๒) กําเนิดเดรัจฉาน (๓) เปรตวิสัย (๔) มนุษย (๕) เทวดา
สารีบุตร ! เรายอมรูชัดซึ่ง นรก ทางยังสัตวใหถึงนรก และปฏิปทาอันจะยังสัตวใหถึงนรก …
สารีบุตร ! เรายอมรูชัดซึ่ง กําเนิดเดรัจฉาน ทางยังสัตวใหถึงกําเนิดเดรัจฉาน และปฏิปทาอันจะยังสัตวใหถึงกําเนิดเดรัจฉาน …
สารีบุตร ! เรายอมรูชัดซึ่ง เปรตวิสัย ทางยังสัตวใหถึงเปรตวิสัย และปฏิปทาอันจะยังสัตวใหถึงเปรตวิสัย …
สารีบุตร ! เรายอมรูชัดซึ่ง เหลามนุษย ทางยังสัตวใหถึงมนุษยโลก และปฏิปทาอันจะยังสัตวใหถึงมนุษยโลก …
สารีบุตร ! เรายอมรูชัดซึ่ง เทวดาทั้งหลาย ทางยังสัตวใหถึงเทวโลก และปฏิปทาอันจะยังสัตวใหถึงเทวโลก…
สารีบุตร ! เรายอมรูชัดซึ่ง นิพพาน ทางยังสัตวใหถึงนิพพาน และปฏิปทาอันจะยังสัตวใหถึงนิพพาน …
พุทธวจน ภพภูมิ หน้า ๓๑
(ภาษาไทย) มู. ม. ๑๒/๑๐๒/๑๗๐. : คลิกดูพระสูตร
ความหมายของคําว่า “สัตว์”}
ขาแตพระองคผูเจริญ ! ที่เรียกกันวา ‘สัตว สัตว’ ดังนี้, อันวาสัตวมีได ดวยเหตุเพียงไรเลา พระเจาขา !ราธะ ! ฉันทะ (ความพอใจ) ราคะ (ความกําหนัด) นันทิ (ความเพลิน) ตัณหา (ความอยาก) ใดๆ มีอยูในรูป เพราะการติดแลว ของแลวในรูปนั้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกวา “สัตว” (ผูของติดในขันธทั้ง ๕) ดังนี้.
ราธะ ! ฉันทะ ราคะ นันทิ ตัณหา ใดๆ มีอยูในเวทนา (ความรูสึกสุข ทุกขและไมสุขไมทุกข) เพราะการติดแลว ของแลวในเวทนานั้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกวา “สัตว” ดังนี้.
ราธะ ! ฉันทะ ราคะ นันทิ ตัณหา ใดๆ มีอยูในสัญญา (ความหมายรู) เพราะการติดแลว ของแลวในสัญญานั้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกวา “สัตว” ดังนี้.
ราธะ ! ฉันทะ ราคะ นันทิ ตัณหา ใดๆ มีอยูในสังขารทั้งหลาย (ความปรุงแตง) เพราะการติดแลว ของแลวในสังขารทั้งหลายนั้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกวา “สัตว” ดังนี้.
ราธะ ! ฉันทะ ราคะ นันทิ ตัณหา ใดๆ มีอยูในวิญญาณ เพราะการติดแลว ของแลวในวิญญาณนั้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกวา “สัตว” ดังนี้แล.
พุทธวจน ภพภูมิ หน้า ๒๓.
(ภาษาไทย) ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๙๑/๓๖๗. : คลิกดูพระสูตร
เหตุใหมีการเกิดแห่งสัตว์
วัจฉะ ! เรายอมบัญญัติความบังเกิดขึ้น สําหรับสัตวผูที่ยังมีอุปาทาน (เชื้อ) อยู
ไมใชสําหรับสัตวผูที่ไมมีอุปาทาน.
วัจฉะ ! เปรียบเหมือนไฟที่มีเชื้อ ยอมโพลงขึ้นได ที่ไมมีเชื้อ ก็โพลงขึ้นไมได อุปมานี้ฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น.
วัจฉะ ! เรายอมบัญญัติความบังเกิดขึ้น สําหรับสัตวผูที่ยังมีอุปาทานอยู ไมใช
สําหรับสัตวผูที่ไมมีอุปาทาน.
พระโคดมผูเจริญ ! ถาสมัยใด เปลวไฟ ถูกลมพัดหลุดปลิวไปไกล สมัยนั้น พระโคดมยอมบัญญัติซึ่ง
อะไรวา เปนเชื้อแกเปลวไฟนั้น ถาถือวามันยังมีเชื้ออยู ?
วัจ ฉะ ! สมัยใด เปลวไฟ ถูกลมพัดหลุดปลิวไปไกล เรายอมบัญญัติเปลวไฟนั้น วา มีลมนั่นแหละเปนเชื้อ เพราะวา สมัยนั้น ลมยอมเปนเชื้อของเปลวไฟนั้น.
พระโคดมผูเจริญ ! ถาสมัยใด สัตวทอดทิ้งกายนี้ และยังไมบังเกิดขึ้นดวยกายอื่น
สมัยนั้น พระโคดมยอมบัญญัติซึ่งอะไร วาเปนเชื้อแกสัตวนั้น ถาถือวามันยังมีเชื้ออยู ?
วัจ ฉะ ! สมัยใด สัตวทอดทิ้งกายนี้ และยังไมบังเกิดขึ้นดวยกายอื่น เรากลาวสัตวนี้วา มีตัณหานั่นแหละเปนเชื้อ เพราะวา สมัยนั้น ตัณหายอมเปนเชื้อของสัตวนั้น.
พุทธวจน ภพภูมิ หน้า ๒๕.
(ภาษาไทย) สฬา. สํ. ๑๘/๓๙๘/๘๐๐. : คลิกดูพระสูตร
สัตว์ได้กายแบบตางๆ
ภิกษุทั้งหลาย ! สัตตาวาส ๙ มีอยู สัตตาวาส ๙ อยางไรเลา ?
ภิกษุทั้งหลาย ! สัตวพวกหนึ่ง (สตฺตา) มีกายตางกัน มีสัญญาตางกัน เหมือนมนุษยทั้งหลาย เทวดาบางพวก และวินิบาตบางพวก นี้เปนสัตตาวาสที่ ๑
สัตวพวกหนึ่ง มีกายตางกัน มีสัญญาอยางเดียวกัน เหมือนเทวดาผูนับเนื่องในหมูพรหม ผูเกิดในปฐมภูมิ (ปมานิพฺพตฺตา) นี้เปนสัตตาวาสที่ ๒
สัตวพวกหนึ่ง มีกายอยางเดียวกัน มีสัญญาตางกัน เหมือนพวกเทพอาภัสสระ
นี้เปนสัตตาวาสที่ ๓
สัตวพวกหนึ่ง มีกายอยางเดียวกัน มีสัญญาอยางเดียวกัน เหมือนพวก
เทพสุภกิณหะ นี้เปนสัตตาวาสที่ ๔
สัตวพวกหนึ่ง ไมมีสัญญา ไมเสวยเวทนา เหมือนพวกเทพผูเปนอสัญญีสัตว
นี้เปนสัตตาวาสที่ ๕
สัตวพวก หนึ่ง เพราะกาวลวงเสียได ซึ่งรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะความดับไปแหงปฏิฆสัญญา เพราะไมใสใจนานัตตสัญญา จึงเขาถึงอากาสานัญจายตนะ
มีการทําในใจวา “อากาศไมมีที่สิ้นสุด” ดังนี้ นี้เปนสัตตาวาส ที่ ๖
สัตวพวกหนึ่ง เพราะกาวลวงเสียได ซึ่งอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง จึงเขาถึงวิญญาณัญจายตนะ มีการทําในใจวา “วิญญาณไมมีที่สุด” ดังนี้
นี้เปนสัตตาวาสที่ ๗
สัตวพวกหนึ่ง เพราะกาวลวงเสียได ซึ่งวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง จึงเขาถึงอากิญจัญญายตนะ มีการทําในใจวา “อะไรๆ ก็ไมมี” ดังนี้
นี้เปนสัตตาวาสที่ ๘
สัตวพวก หนึ่ง เพราะกาวลวงเสียได ซึ่งอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง จึงเขาถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ ดังนี้ นี้เปนสัตตาวาสที่ ๙.
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล สัตตาวาส ๙.
พุทธวจน ภพภูมิ หน้า ๒๙.
(ภาษาไทย) สตฺตก. อํ. ๒๓/๓๒๓/๒๒๘. : คลิกดูพระสูตร
สังขตลักษณะ
ภิกษุทั้งหลาย ! สังขตลักษณะแหงสังขตธรรม ๓ อยาง เหลานี้ มีอยู.
๓ อยาง อยางไรเลา ? ๓ อยาง คือ :-
(๑) มีการเกิดปรากฏ (อุปฺปาโท ปฺายติ)
(๒) มีการเสื่อมปรากฏ (วโย ปฺายติ)
(๓) เมื่อตั้งอยู ก็มีภาวะอยางอื่นปรากฏ (ิตสฺส อฺถตฺตํ ปฺายติ)
ภิกษุทั้งหลาย ! ๓ อยาง เหลานี้แล คือ สังขตลักษณะแหงสังขตธรรม.
พุทธวจน ภพภูมิ หน้า ๔๖๗.
(ภาษาไทย) ติก. อํ. ๒๐/๑๔๔/๔๘๖. : คลิกดูพระสูตร
อสังขตลักษณะ
ภิกษุทั้งหลาย ! อสังขตลักษณะแหงอสังขตธรรม ๓ อยางเหลานี้ มีอยู.
๓ อยางอยางไรเลา ? ๓ อยาง คือ :-
(๑) ไมปรากฏมีการเกิด (น อุปฺปาโท ปฺายติ)
(๒) ไมปรากฏมีการเสื่อม (น วโย ปฺายติ)
(๓) เมื่อตั้งอยู ก็ไมมีภาวะอยางอื่นปรากฏ (น ิตสฺส อฺถตฺตํ ปฺายติ)
ภิกษุทั้งหลาย ! ๓ อยาง เหลานี้แล คือ อสังขตลักษณะแหงอสังขตธรรม.
พุทธวจน ภพภูมิ หน้า ๔๖๘.
(ภาษาไทย) ติก. อํ. ๒๐/๑๔๔/๔๘๗. : คลิกดูพระสูตร
สำหรับผู้ที่ไม่สามารถเข้าใจปฏิจจสมุปบาทยึดถือกายเป็นตัวตน ยังดีกว่ายึดถือจิตเป็นตัวตน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้ว จะพึงเบื่อหน่ายได้บ้าง
พึงคลายกำหนัดได้บ้าง พึงปล่อยวางได้บ้าง
ในกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้งสี่นี้. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า?
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนั้นเพราะเหตุว่า การก่อขึ้นก็ดี การสลายลงก็ดี
การถูกยึดครองก็ดี การทอดทิ้งซากไว้ก็ดี แห่งกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้งสี่นี้ ย่อมปรากฎอยู่. เพราะเหตุนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้ว จึงเบื่อหน่ายได้บ้าง
จึงคลายกำหนัดได้บ้าง จึงปล่อยวางได้บ้าง ในกายนั้น.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ส่วนสิ่งที่เรียกกันว่า "จิต" ก็ดี ว่า "มโน" ก็ดี ว่า "วิญญาณ" ก็ดี ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้ว ไม่อาจจะเบื่อหน่าย ไม่อาจจะคลายกำหนัด ไม่อาจจะปล่อยวาง ซึ่งจิตนั้น. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า?
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนั้นเพราะเหตุว่า สิ่งที่เรียกว่าจิตเป็นต้นนี้
เป็นสิ่งที่ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้ว ได้ถึงทับแล้วตัณหา
ได้ยึดถือแล้วด้วยทิฏฐิโดยความเป็นตัวตน มาตลอดกาลช้านานว่า
"นั่นของเรา นั่นเป็นเรานั่นเป็นตัวตนของเรา" ดังนี้;
เพราะเหตุนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้ว จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย ไม่อาจจะคลายกำหนัด
ไม่อาจจะปล่อยวาง ซึ่งสิ่งที่เรียกว่าจิตเป็นต้นนั้น.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้ว จะพึงเข้าไปยึดถือเอากายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้งสี่นี้ โดยความเป็นตัวตน ยังดีกว่า.
แต่จะเข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตัวตน ไม่ดีเลย. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า?
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อ นั้นเพราะเหตุว่า กายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้งสี่นี้ ดำรงอยู่ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปีบ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้างสี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง เกินกว่าร้อยปีบ้าง ปรากฏอยู่.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!ส่วน สิ่งที่เรียกกันว่า "จิต" ก็ดี ว่า "มโน" ก็ดี ว่า "วิญญาณ" ก็ดี นั้น ดวงอื่นเกิดขึ้น ดวงอื่นดับไป ตลอดวัน ตลอดคืน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือน วานร เมื่อเที่ยวไปอยู่ในป่าใหญ่
ย่อมจับกิ่งไม้ : ปล่อยกิ่งนั้น จับกิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่จับเดิม เหนียวกิ่งอื่น เช่นนี้เรื่อย ๆ ไป, ข้อนี้ฉันใด;
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! สิ่งที่เรียกกันว่า "จิต" ก็ดี ว่า "มโน" ก็ดี ว่า "วิญญาณ" ก็ดี นั้น ดวงอื่นเกิดขึ้น ดวงอื่นดับ ไป ตลอดวัน .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ในเรื่องที่กล่าวนี้ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมกระทำในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเทียว ดังนี้ว่า
"เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี;
เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น.
เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี;
เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป :
ข้อนี้ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย; เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ;...ฯลฯ... ...ฯลฯ...; เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน :
ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว,
จึงมีความดับแห่งสังขาร; เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ; ...ฯลฯ......ฯลฯ...; เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัส -
อุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น :
ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้".
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป, ย่อมเบื่อหน่าย แม้ในเวทนา, ย่อมเบื่อหน่าย แม้ในสัญญา, ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลาย, ย่อมเบื่อหน่าย แม้ในวิญญาณ.
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด;
เพราะความคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น;เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า "หลุดพ้น
แล้ว" ดังนี้. เธอย่อมรู้ชัดว่า "ชาตินี้แล้ว, พรหมจรรย์อันเราอยู่จบแล้ว, กิจที่ควรทำ
ได้ทำเสร็จแล้ว, กิจอื่น เพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มีอีก", ดังนี้ แล.
(ภาษาไทย) นิทาน. สํ. ๑๖/๙๓/๒๓๑-๒๓๔. : คลิกดูพระสูตร
สิ่งๆ นั้น มีอยู่
ภิกษุทั้งหลาย ! “สิ่ง” สิ่งนั้นมีอยู เปนสิ่งซึ่งในนั้น ไมมีดิน ไมมีนํ้า ไมมีไฟ ไมมีลม ไมใชอา กาสานัญจายตนะ ไมใชวิญญาณัญจายตนะ ไมใชอากิญจัญญายตนะ ไมใชเนวสัญญานาสัญญายตนะ ไมใชโลกนี้ ไมใชโลกอื่น ไมใชดวงจันทร หรือดวงอาทิตยทั้งสองอยาง.
ภิกษุทั้งหลาย ! ในกรณีอันเกี่ยวกับ “สิ่ง” สิ่งนั้น เราไมกลาววามีการมา
ไมกลาวว ามีการไป ไมกลาววามีการหยุด ไมกลาววามีการจุติ ไมกลาววามีการเกิดขึ้น สิ่งนั้นมิไดตั้งอยู สิ่งนั้นมิไดเปนไป และสิ่งนั้นมิใชอารมณ นั่นแหละคือ ที่สุดแหงทุกข ละ.
พุทธวจน ภพภูมิ หน้า ๔๗๓.
(ภาษาไทย) อุ. ขุ. ๒๕/๑๔๓/๑๕๘. : คลิกดูพระสูตร
ทัณฑสูตร
ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนท่อนไม้อันบุคคลซัดขึ้นไปสู่อากาศ
บางคราวตกเอาโคนลง บางคราวตกเอาตอนกลางลง
บางคราวตกเอาปลายลง ข้อ นี้ฉันใด.
ภิกษุทั้งหลาย ! สัตวทั้งหลายผูมี้อวิชชาเป็น เครื่องกั้น มีตัณหาเป็น เครื่องผูก
ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน บางคราวแล่นไปจากโลกนี้สู่โลกอื่น
บางคราวแล่นจากโลกอื่นสู่โลกนี้.
(ภาษาไทย) นิทาน. สํ. ๑๖/๑๘๓/๔๓๙. : คลิกดูพระสูตร
ที่ตั้งอยูของวิญญาณ (นัยที่ ๒)
ภิกษุทั้งหลาย ! สิ่งที่ใชเปนพืชมี ๕ อยาง เหลานี้. ๕ อยาง เหลาไหนเลา?
๕ อยางคือ :-
(๑) พืชจากเหงาหรือราก (มูลพีช)
(๒) พืชจากตน (ขนฺธพีช)
(๓) พืชจากตาหรือผล (ผลพีช)
(๔) พืชจากยอด (อคฺคพีช)
(๕) พืชจากเมล็ด (พีชพีช)
ภิกษุทั้งหลาย ! ถาสิ่งที่ใชเปนพืช ๕ อยาง เหลานี้ ที่ไมถูกทําลาย ยังไมเนาเปอย
ยังไมแหงเพราะลมและแดด ยังมีเชื้องอกบริบูรณอยู และอันเจาของเก็บไวดวยดี
แตดิน น้ำ ไมมี.
ภิกษุทั้งหลาย ! สิ่งที่ใชเปนพืช ๕ อยาง เหลานั้นจะพึงเจริญงอกงามไพบูลย
ไดแลหรือ?
หาเปนเชนนั้นไม พระเจาขา !
ภิกษุ ทั้งหลาย ! ถาสิ่งที่ใชเปนพืช ๕ อยาง เหลานี้แหละ ที่ไมถูกทําลายยังไมเนาเปอย ยังไมแหงเพราะลมและแดด ยังมีเชื้องอกบริบูรณอยู และอันเจาของเก็บไวดวยดี
ทั้งดิน น้ำ ก็มีดวย.
ภิกษุทั้งหลาย ! สิ่งที่ใชเปนพืช ๕ อยาง เหลานั้นจะพึงเจริญ งอกงาม ไพบูลย ไดมิใชหรือ?
อยางนั้น พระเจาขา !
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณฐิติ ๔ อยาง (รูป เวทนา สัญญา สังขาร)
พึงเห็นวา เหมือนกับ ดิน.
ภิกษุทั้งหลาย ! นันทิราคะ (ความกําหนัดดวยอํานาจแหงความเพลิน)
พึงเห็นวาเหมือนกับ นํ้า.
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่งประกอบดวยปจจัย พึงเห็นวา
เหมือนกับ พืชสดทั้ง ๕ นั้น.
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่งเขาถือเอารูปตั้งอยู ก็ตั้งอยูได
เปนวิญญาณที่มีรูปเปนอารมณ มีรูปเปนที่ตั้งอาศัย
มีนันทิเปนที่เขาไปสองเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลยได.
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่งเขาถือเอาเวทนา ตั้งอยู ก็ตั้งอยูได
เปนวิญญาณที่มีเวทนาเปนอารมณ มีเวทนาเปนที่ตั้งอาศัย
มีนันทิเปนที่เขาไปสองเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลยได.
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่งเขาถือเอาสัญญา ตั้งอยู ก็ตั้งอยูได
เปนวิญญาณที่มีสัญญาเปนอารมณ มีสัญญาเปนที่ตั้งอาศัย
มีนันทิเปนที่เขาไปสองเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลยได.
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่งเขาถือเอาสังขาร ตั้งอยู ก็ตั้งอยูได
เปนวิญญาณที่มีสังขารเปนอารมณ มีสังขารเปนที่ตั้งอาศัย
มีนันทิเปนที่เขาไปสองเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลยได.
ภิกษุทั้งหลาย ! ผูใดจะพึงกลาวอยางนี้วา :-
เราจักบัญญัติซึ่งการมา การไป การจุติ (การตาย) การอุบัติ (การเกิด) ความเจริญ ความ งอกงาม และความไพบูลย์ของวิญญาณ โดยเว้นจากรูป เว้นจากเวทนา เว้นจากสัญญา และเว้นจากสังขาร ดังนี้นั้น นี่ไม่ใช่ฐานะที่จักมีได้เลย.
ภิกษุทั้งหลาย ! ถาราคะในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ ในสัญญาธาตุ ในสังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ เปนสิ่งที่ภิกษุละไดแลว. เพราะละราคะได
อารมณสําหรับวิญญาณก็ขาดลง ที่ตั้งของวิญญาณก็ไมมี
วิญญาณอันไมมีที่ตั้งนั้น ก็ไมงอกงาม หลุดพนไป
เพราะไมถูกปรุงแตงเพราะหลุดพนไป ก็ตั้งมั่น เพราะตั้งมั่น ก็ยินดีในตนเอง
เพราะยินดีในตนเอง ก็ไมหวั่นไหว เมื่อไมหวั่นไหว ก็ปรินิพพานเฉพาะตน
ยอมรูชัดวา ชาติสิ้นแลว พรหมจรรยอยูจบแลว กิจที่ควรทําไดสําเร็จแลว
กิจอื่นที่จะตองทําเพื่อความเปนอยางนี้ มิไดมีอีก ดังนี้.
พุทธวจน ภพภูมิ หน้า ๑๕.
(ภาษาไทย) ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๔/๑๐๗. : คลิกดูพระสูตร