Buddhawajana FAQ

Thai (th)English (UK)

ความสัมพันธ์สอดรับกันของปฏิจจสมุปบาทสายเกิดสายดับ กับอริยสัจสี่ และอริยมรรคมีองค์แปด คืออย่างไร

ให้เรตสมาชิก
ไม่ดีดี 

 

 

วิดีโอ

คอร์สปฎิบัติธรรมวัดนาป่าพง 26 พ.ย. 53

บรรยายธรรมโดย พระอาจารย์ คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล

วัดนาป่าพง ลำลูกกา คลอง ๑๐ ปทุมธานี

ดาวน์โหลด : mp4, mp3

 

พระสูตรที่เกี่ยวข้อง

 

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลัทธิ...  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เราแสดงไว้ว่า อริยสัจ ๔ คนอื่นข่มขี่ไม่ได้ ไม่มัวหมอง ไม่ถูกติ ไม่ถูกคัดค้านโดยสมณพราหมณ์ ผู้รู้ นี้เราได้กล่าวไว้แล้วเช่นนี้แล เพราะอาศัยอะไรจึงได้กล่าวไว้ดังนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะถือมั่นธาตุ ๖ สัตว์จึงลงสู่ครรภ์เมื่อมีการลงสู่ครรภ์ จึงมีนามรูป

เพราะนามรูปเป็นปัจจัย      จึงมีสฬายตนะ

เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย   จึงมีผัสสะ

เพราะผัสสะเป็นปัจจัย        จึงมีเวทนา

เราบัญญัติว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์แก่บุคคล ผู้เสวยเวทนาอยู่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทุกขอริยสัจเป็นไฉน คือ แม้ชาติก็เป็นทุกข์ แม้ชราก็เป็นทุกข์ แม้มรณะก็เป็นทุกข์ แม้โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส เป็นทุกข์ ความประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ แม้ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สมหวังก็เป็นทุกข์ โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ทุกขอริยสัจ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทุกขสมุทัยอริยสัจเป็นไฉน คือ

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย       จึงมีสังขาร

เพราะสังขารเป็นปัจจัย       จึงมีวิญญาณ

เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย     จึงมีนามรูป

เพราะนามรูปเป็นปัจจัย      จึงมีสฬายตนะ

เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย   จึงมีผัสสะ

เพราะผัสสะเป็นปัจจัย        จึงมีเวทนา

เพราะเวทนาเป็นปัจจัย       จึงมีตัณหา

เพราะตัณหาเป็นปัจจัย       จึงมีอุปาทาน

เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย    จึงมีภพ

เพราะภพเป็นปัจจัย          จึงมีชาติ

เพราะชาติเป็นปัจจัย          จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส กองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าทุกขสมุทัยอริยสัจ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทุกขนิโรธอริยสัจเป็นไฉน

เพราะอวิชชาดับโดยสำรอกไม่เหลือ สังขารจึงดับ

เพราะสังขารดับ                      วิญญาณจึงดับ

เพราะวิญญาณดับ                    นามรูปจึงดับ

เพราะนามรูปดับ                      สฬายตนะจึงดับ

เพราะสฬายตนะดับ                  ผัสสะจึงดับ

เพราะผัสสะดับ                       เวทนาจึงดับ

เพราะเวทนาดับ                      ตัณหาจึงดับ

เพราะตัณหาดับ                      อุปาทานจึงดับ

เพราะอุปาทานดับ                    ภพจึงดับ

เพราะภพดับ                          ชาติจึงดับ

เพราะชาติดับ                         ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสจึงดับ กองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมดับด้วยอาการอย่างนี้ ดูกรภิกษุ ทั้งหลายนี้เรียกว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจเป็นไฉน อริยมรรคมีองค์ ๘ คือ

ความเห็นชอบ

ความดำริชอบ

เจรจาชอบ

การงานชอบ

เลี้ยงชีวิตชอบ

ความเพียรชอบ

ความระลึกชอบ

ความตั้งใจชอบ

ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยถ้อยคำที่เราได้กล่าวว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เราแสดงไว้ว่า อริยสัจ ๔ คนอื่นข่มขี่ไม่ได้ ไม่มัวหมอง ไม่ถูกติ ไม่ถูกคัด ค้านโดยสมณพราหมณ์ผู้รู้ ฉะนั้นเราจึงได้กล่าวไว้ดังนั้น ฯ

 

 

(ภาษาไทย) ติก. อํ.  ๒๐/๑๖๙/๕๐๑.: คลิกพระสูตร

 

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาท เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย       จึงมีสังขาร

เพราะสังขารเป็นปัจจัย       จึงมีวิญญาณ

เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย     จึงมีนามรูป

เพราะนามรูปเป็นปัจจัย      จึงมีสฬายตนะ

เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย   จึงมีผัสสะ

เพราะผัสสะเป็นปัจจัย        จึงมีเวทนา

เพราะเวทนาเป็นปัจจัย       จึงมีตัณหา

เพราะตัณหาเป็นปัจจัย       จึงมีอุปาทาน

เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย    จึงมีภพ

เพราะภพเป็นปัจจัย          จึงมีชาติ

เพราะชาติเป็นปัจจัย          จึงมีชรา และมรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และ      อุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ นี้เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ฯ

 

ก็เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ

เพราะสังขารดับ              วิญญาณจึงดับ

เพราะวิญญาณดับ            นามรูปจึงดับ

เพราะนามรูปดับ             สฬายตนะจึงดับ

เพราะสฬายตนะดับ          ผัสสะจึงดับ

เพราะผัสสะดับ               เวทนาจึงดับ

เพราะเวทนาดับ              ตัณหาจึงดับ

เพราะตัณหาดับ              อุปาทานจึงดับ

เพราะอุปาทานดับ           ภพจึงดับ

เพราะภพดับ                  ชาติจึงดับ

เพราะชาติดับ                 ชรา และมรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และ        อุปายาสจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้  ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจยินดีชื่นชม ภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ

                                                อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้น หน้า ๓๒๘

                                                                             (ภาษาไทย) นิทาน. สํ.  ๑๖/๑/๒-.: คลิกพระสูต

 

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจเป็นไฉน นี้คือมรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ

ก็สัมมาทิฏฐิ เป็นไฉน ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในทุกขสมุทัย ความรู้ในทุกขนิโรธ ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา อันนี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ฯ

สัมมาสังกัปปะ เป็นไฉน ความดำริในการออกจากกาม ความดำริในความไม่พยาบาท ความดำริในอันไม่เบียดเบียน อันนี้เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ ฯ

สัมมาวาจา เป็นไฉน การงดเว้นจากการพูดเท็จ งดเว้นจากการพูดส่อเสียด งดเว้นจากการพูดคำหยาบ งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ อันนี้เรียกว่า สัมมาวาจา ฯ

สัมมากัมมันตะ เป็นไฉน การงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ งดเว้นจากการถือเอาสิ่งของ ที่เขามิได้ให้ งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม อันนี้เรียกว่า สัมมากัมมันตะ ฯ

สัมมาอาชีวะ เป็นไฉน อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ละการเลี้ยงชีพที่ผิดเสียสำเร็จ การเลี้ยงชีพด้วยการเลี้ยงชีพที่ชอบ อันนี้เรียกว่า สัมมาอาชีวะ ฯ

สัมมาวายามะ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เกิดฉันทะ พยายามปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อมิให้อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น เพื่อละอกุศลธรรมอันลามกที่บังเกิดขึ้นแล้ว เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น เพื่อความตั้งอยู่ไม่เลือนหาย เจริญยิ่งไพบูลย์ มีขึ้น เต็มเปี่ยม แห่งกุศลธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว อันนี้เรียกว่า สัมมาวายามะ ฯ

สัมมาสติ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯลฯ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้ อันนี้เรียกว่า สัมมาสติ ฯ

สัมมาสมาธิ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ อันนี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ฯ ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมภายในบ้าง พิจารณาเห็นธรรมในธรรมภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งภายในภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือ ความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือ เสื่อมในธรรมบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในธรรมบ้าง ย่อมอยู่ อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า ธรรมมีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ ฯ

                 

 

ตามรอยธรรม หน้า ๒๓

                                                                          (ภาษาไทย) มหา. ที. ๑๐/๒๓๑/๒๙๙ : คลิกพระสูตร

 

 

Today1020
Yesterday1254
This week5825
This month15843
Total2523148

Who Is Online

119
Online