Buddhawajana FAQ

Thai (th)English (UK)

การสร้างเหตุที่ถูกต้อง คืออย่างไร

ให้เรตสมาชิก
ไม่ดีดี 

 

วิดีโอ

บรรยายธรรมโดย พระอาจารย์ คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล
วัดนาป่าพง ลำลูกกา คลอง ๑๐ ปทุมธานี
สนทนาธรรมค่ำวันเสาร์  12 มี.ค. 2554

ดาวน์โหลด : mp4, mp3


 

พระสูตรที่เกี่ยวข้อง

 ภูมิชะ ! เปรียบเหมือนบุรุษต้องการน้ำมันแสวงหาน้ำมัน  จึงเที่ยวเสาะหาน้ำมัน  แต่เกลี่ยทรายลงในรางแล้วคั้นไปเอาน้ำพรมไปๆ …

ถ้าแม้ทำความหวัง  แล้วเกลี่ยทรายลงในราง คั้นไป  เอาน้ำพรมไปๆ  เขาก็

ไม่สามารถจะได้น้ำมัน

ถ้าแม้ทำความไม่หวัง  แล้วเกลี่ยทรายลงในราง คั้นไป  เอาน้ำพรมไปๆ เขาก็ไม่สามารถจะได้น้ำมัน

ถ้าแม้ทำทั้งความหวังและความไม่หวัง แล้วเกลี่ยทรายลงในราง คั้นไป เอาน้ำพรมไปๆเขาก็ ไม่สามารถจะได้น้ำมัน

ถ้าทำความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่ แล้วเกลี่ยทรายลงในราง  คั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ เขาก็ ไม่สามารถจะได้น้ำมัน ... นั่นเพราะเหตุไร...

ภูมิชะ ! เพราะเขาไม่สามารถจะได้น้ำมันโดยวิธีไม่แยบคาย ฉันใด

ภูมิชะ ! ฉันนั้นเหมือนกันแล... สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง

ที่ มีมิจฉาทิฏฐิ  มีมิจฉาสังกัปปะ มีมิจฉาวาจา มีมิจฉากัมมันตะ  มีมิจฉาอาชีวะ  มีมิจฉาวายามะ  มีมิจฉาสติ  มีมิจฉาสมาธิ ...

ถ้าแม้ทำความหวัง แล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ ไม่สามารถจะบรรลุผล

ถ้าแม้ทำความไม่หวัง แล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ ไม่สามารถจะบรรลุผล

ถ้าแม้ทำทั้งความหวังและความไม่หวัง แล้วประพฤติพรหมจรรย์  เขาก็

ไม่สามารถจะบรรลุผล

ถ้าแม้ทำความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่ แล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็  ไม่สามารถจะบรรลุผล... นั่นเพราะเหตุไร

ภูมิชะ ! เพราะเขาไม่สามารถจะบรรลุผลได้โดยอุบายไม่แยบคาย   

(ภาษาไทย) อุปริ. . ๑๔/๒๑๗/๔๑๐. : คลิกดูพระสูตร

 

ภูมิชะ !  เปรียบเหมือนบุรุษต้องการน้ำมัน  แสวงหาน้ำมันจึงเที่ยวเสาะหา

น้ำมัน  เกลี่ยงาป่นลงในรางแล้วคั้นไป  เอาน้ำพรมไปๆ 

ถ้าแม้ ทำความหวังแล้วเกลี่ยงาป่นลงในราง  คั้นไป  เอาน้ำพรมไปๆ  เขาก็สามารถได้น้ำมัน

ถ้าแม้ ทำความไม่หวังแล้วเกลี่ยงาป่นลงในราง  คั้นไป  เอาน้ำพรมไปๆ  เขาก็สามารถได้น้ำมัน ... 

ถ้าแม้ ทำทั้งความหวังและความไม่หวังแล้ว เกลี่ยงาป่นลงในราง  คั้นไป  เอาน้ำพรมไปๆ  เขาก็สามารถได้น้ำมัน ... 

ถ้าแม้ ทำความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้ว  เกลี่ยงาป่นลงในรางคั้นไป  เอาน้ำพรมไปๆ  เขาก็สามารถได้น้ำมัน 

นั่นเพราะเหตุไร   

ภูมิชะ !  เพราะเขาสามารถได้น้ำมันโดยวิธีแยบคาย  ฉันใด 

ภูมิชะ ! ฉันนั้นเหมือนกันแล  สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งที่มี

สัมมาทิฏฐิ   มีสัมมาสังกัปปะ  มีสัมมาวาจา   มีสัมมากัมมันตะ  มีสัมมาอาชีวะ  มีสัมมาวายามะ  มีสัมมาสติ  มีสัมมาสมาธิ 

ถ้าแม้ ทำความหวังแล้ว ประพฤติพรหมจรรย์  เขาก็สามารถบรรลุผล

ถ้าแม้ ทำความไม่หวังแล้ว ประพฤติพรหมจรรย์  เขาก็สามารถบรรลุผล …  

ถ้าแม้ ทำทั้งความหวังและความไม่หวังแล้ว  ประพฤติพรหมจรรย์  เขาก็สามารถบรรลุผล... 

ถ้าแม้ ทำความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วประพฤติพรหมจรรย์  เขาก็สามารถบรรลุผลนั่นเพราะเหตุไร 

ภูมิชะ ! เพราะเขาสามารถบรรลุผลได้โดยอุบายแยบคาย  …

(ภาษาไทย) อุปริ. ม. ๑๔/๒๑๙/๔๑๕. : คลิกดูพระสูตร

 

 วาเสฏฐะ !  เปรียบเหมือนแม่น้ำอจิรวดีนี้   มีน้ำเต็มเปี่ยม   กายืนดื่มได้.

ครั้งนั้นมีบุรุษคนหนึ่งมาถึงเข้า  เขามีประโยชน์ที่ฝั่งโน้น แสวงหาฝั่งโน้น มีการไปสู่ฝั่งโน้นประสงค์จะข้ามไปสู่ฝั่งโน้น  แต่เขานอนคลุมศีรษะ ของตนอยู่ที่ริมฝั่งนี้.

วาเสฏฐะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : บุรุษนั้นจะไปจากฝั่งใน สู่ฝั่งนอกแห่งแม่น้ำ อจิรวดีได้หรือหนอ ?

 

ไม่ได้แน่ ท่านพระโคดม !

วาเสฏฐะ !  ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน : นิวรณ์ ๕ อย่ง เหล่านี้  เรียกกันในอริยวินัย ว่า  เครื่องปิดบ้าง  ว่า  เครื่องกั้นบ้าง  ว่า  เครื่องคลุมบ้าง ว่า เครื่องร้อยรัดบ้าง  ๕ อย่าง  อย่างไรเล่า ?  ๕ อย่าง คือ

มฉันทนิวรณ์   พ๎ยทนิวรณ์   ถีนมิทธนิวรณ์  (ความง่วงเหงาซึมเซา) อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์  (ความฟุ้งซ่านและรำคาญ)  วิจิกิจฉนิวรณ์  (ความลังเล, สงสัย)   

วาเสฏฐะ !  นิวรณ์ ๕ อย่าง เหล่านี้แล ซึ่งเรียกกัน ในอริยวินัย ว่า  เครื่องปิดบ้าง  ว่า เครื่องกั้นบ้าง  ว่า เครื่องคลุมบ้าง  ว่า เครื่องร้อยรัดบ้าง.

 

วาเสฏฐะ !  พราหมณ์ไตรเพททั้งหลาย ถูกนิวรณ์ ๕ อย่างเหล่านี้ ปิดแล้ว

กั้นแล้ว คลุมแล้ว ร้อยรัดแล้ว.

วาเสฏฐะ !  พราหมณ์ไตรเพทเหล่านั้น ละธรรมะที่ทำความเป็นพราหมณ์เสีย สมาทานธรรมะ ที่ไม่ทำความเป็นพราหมณ์  ดำรงชีวิตให้เป็นไปอยู่  อันนิวรณ์ทั้ง ๕ อย่ง  ปิดแล้ว  กั้นแล้ว  คลุมแล้ว  ร้อยรัดแล้ว

จักเป็นผู้เข้ถึงควมเป็นสหยแห่งพรหม  ภยหลังแต่กรตยเพระกรทำลยแห่งกดังนี้นั้น :  นั่นไม่เป็นฐนะที่จะเป็นไปได้.

 

พุทธวจน อานาปานสติ โดย ตถาคต  หน้า ๑๓๓.

(ภาษาไทย) สี. ที. ๙/๓๖๖/๓๗๘-๓๗๙.: คลิกดูพระสูตร

 

 

(หรือการเจริญพรหมวิหาร )

วาเสฏฐะ !  เมื่อภิกษุ พิจารณาเห็น นิวรณ์ ๕ ประการ เหล่านี้  ที่ยังละไม่ได้ในตน  เหมือนเป็นหนี้  เหมือนเป็นโรค  เหมือนถูกจองจำ  เหมือนมีความเป็นทาส  เหมือนเดินทางไกลกันดาร  และ 

เมื่อเธอพิจารณา   เห็นนิวรณ์ ๕ ประการ  ที่ละได้แล้วในตน  เหมือนความไม่มีหนี้ เหมือนความไม่มีโรค เหมือนการพ้นจากการจองจำ  เหมือนมีความเป็นไทแก่ตน  เหมือนอยู่ในสถานอันเกษม  ฉันนั้นแล.

เมื่อเธอพิจารณา   เห็นนิวรณ์ ๕ เหล่านี้  ที่ละได้แล้วในตน  เมื่อเธอพิจารณา เห็นตนบริสุทธิ์  พ้นแล้วจากอกุศลธรรมอันเป็นบาป ที่เกิดขึ้น ปราโมทย์ก็เกิด เมื่อเธอเกิดปราโมทย์แล้ว ปีติก็เกิด เมื่อเธอมีใจ ประกอบด้วยปีติแล้ว  กายก็สงบรํางับ  ผู้มีกายสงบรํางับ  ย่อมเสวยสุข  จิตของผู้มีสุข  ย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิ

เธอมีจิตประกอบด้วยเมตตา  แผ่ไปสู่ทิศที่ ๑ อยู่ แผ่ไปสู่ทิศที่ ๒ ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ ๓ ก็อย่างนั้น  แผ่ไปสู่ทิศที่ ๔  ก็อย่างนั้น  และเธอมีจิตประกอบด้วย

เมตตา  อันกว้างขวาง  เป็นส่วนใหญ่ หาประมาณมิได้  ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่

ไปทั้งเบื้องบน เบื้องตํ่า เบื้องขวางทั่วทุกทาง  เสมอหน้ากันตลอดโลกทั้งปวงที่มีอยู่

เธอมีจิตประกอบด้วยกรุณา แผ่ไปสู่ทิศที่ ๑ อยู่  แผ่ไปสู่ทิศที่ ๒ ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ ๓ ก็อย่างนั้น  แผ่ไปสู่ทิศที่ ๔ ก็อย่างนั้น  และเธอมีจิตประกอบด้วยกรุณา อันกว้างขวาง เป็นส่วนใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไป

ทั้งเบื้องบนเบื้องตํ่า  เบื้องขวางทั่วทุกทาง  เสมอหน้ากันตลอดโลกทั้งปวงที่มีอยู่

เธอมีจิตประกอบด้วยมุฑิตา แผ่ไปสู่ทิศที่ ๑ อยู่  แผ่ไปสู่ทิศที่ ๒ ก็อย่างนั้น

แผ่ไปสู่ทิศที่ ๓ ก็อย่างนั้น  แผ่ไปสู่ทิศที่ ๔ ก็อย่างนั้น  และเธอมีจิตประกอบด้วย

มุฑิตา อันกว้างขวาง เป็นส่วนใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไปทั้งเบื้องบน เบื้องตํ่า  เบื้องขวางทั่วทุกทาง  เสมอหน้ากันตลอดโลกทั้งปวงที่มีอยู่

เธอมีจิตประกอบด้วยอุเบกขา แผ่ไปสู่ทิศที่ ๑ อยู่ แผ่ไปสู่ทิศที่ ๒ ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ ๓  ก็อย่างนั้น  แผ่ไปสู่ทิศที่ ๔  ก็อย่างนั้น และเธอมีจิตประกอบด้วย

อุเบกขา อันกว้างขวาง เป็นส่วนใหญ่  หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่

ไปทั้งเบื้องบน เบื้องตํ่า เบื้องขวาง ทั่วทุกทาง เสมอหน้ากันตลอดโลกทั้งปวงที่มีอยู่

เปรียบเหมือนคนเป่าสังข์ผู้มีกําลัง  ย่อมเป่าสังข์  ให้ได้ยินได้ทั้งสี่ทิศโดยไม่ยากฉันใด ในเมตตาเจโตวิมุตติ (กรุณาเจโตวิมุตติ..., มุทิตาเจโตวิมุตติ..., อุเบกขาเจโตวิมุตติ...,) ที่เจริญแล้วอย่างนี้ กรรมชนิดที่ทําอย่างมีขีดจํากัดย่อมไม่มีเหลืออยู่  ไม่ตั้งอยู่ในนั้น ก็ฉันนั้น

วาเสฏฐะ !  นี้แล ก็เป็นทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหม.

พุทธวจน สาธยายธรรม  หน้า ๑๐๐.

(ภาษาไทย) สี. ที. ๙/๓๘๑/๓๘๓-๓๘๔.: คลิกดูพระสูตร

 

 

ภิกษุทั้งหลาย !   เรกล่วซึ่งเจตนว่เป็นกรรม  เพราะว่าบุคคลเจตนาแล้ว ย่อมกระทำซึ่งกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ.

ภิกษุทั้งหลาย !   นิทานสัมภวะ (เหตุเป็นแดนเกิดพร้อม) แห่งกรรมทั้งหลาย

เป็นอย่างไรเล่า ?

ภิกษุทั้งหลาย !   นิทานสัมภวะแห่งกรรมทั้งหลย คือ ผัสสะ.  

ภิกษุทั้งหลาย !   กัมมนิโรธ  (ความดับไม่เหลือแห่งกรรม)  เป็นอย่างไรเล่า ?

ภิกษุทั้งหลาย !   ความดับแห่งกรรมทั้งหลย  ย่อมมีเพระควมดับแห่งผัสสะ.

ภิกษุทั้งหลาย !   กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา(ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งกรรม) เป็นอย่างไรเล่า ?

ภิกษุทั้งหลาย !   อริยอัฏฐังคิกมรรค (อริยมรรคมีองค์แปด)  นี้นั่นเอง  คือ

 กัมมนิโรธคมินีปฏิปท; ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ :-

สัมมทิฏฐิ(ความเห็นชอบ)

สัมมสังกัปปะ  (ความดำริชอบ)

สัมม(การพูดจาชอบ)

สัมมกัมมันตะ  (การทำการงานชอบ)

สัมมชีวะ     (การเลี้ยงชีวิตชอบ)

สัมมมะ   (ความพากเพียรชอบ)

สัมมสติ  (ความระลึกชอบ)

สัมมสมธิ      (ความตั้งใจมั่นชอบ).

พุทธวจน  แก้กรรม  หน้า ๒.

(ภาษาไทย) ฉกฺก. อํ. ๒๒/๓๖๖/๓๓๔.  : คลิกดูพระสูตร

 

 

ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะอาศัยตาด้วย รูปทั้งหลายด้วย จึงเกิดจักขุวิญญาณ การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ นั่นคือ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย...

 

เพราะอาศัยหูด้วย เสียงทั้งหลายด้วย จึงเกิดโสตวิญญาณ การประจวบ

พร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ นั่นคือ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย...

เพราะอาศัยจมูกด้วย กลิ่นทั้งหลายด้วย จึงเกิดฆานวิญญาณ การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ นั่นคือ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย...

เพราะอาศัยลิ้นด้วย รสทั้งหลายด้วย จึงเกิดชิวหาวิญญาณ การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ นั่นคือ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย...

 

เพราะอาศัยกายด้วย โผฏฐัพพะทั้งหลายด้วย จึงเกิดกายวิญญาณ

การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ นั่นคือ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย...

 

เพราะอาศัยใจด้วย ธรรมารมณ์ทั้งหลายด้วย จึงเกิดมโนวิญญาณ

การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ นั่นคือ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย

จึงเกิดเวทนาอันเป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้างไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขบ้าง…

พุทธวจน อินทรียสังวร (ตามดู ! ไม่ตามไป...)  หน้า ๑๖.

(ภาษาไทย) อุปริ. ม. ๑๔/๓๙๑/๘๒๒. : คลิกดูพระสูตร

 

 

อานนท์ ! ... เพรกระแสแห่งธรรมย่อมถูกต้องบุคคล  ใครเล่จะพึงรู้เหตุนั้นได้ นอกจกตถคต.

 

อานนท์ !   เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลย อย่ได้เป็นผู้ชอบประมณในบุคคล และอย่ได้ถือประมณในบุคคล เพรผู้ถือประมณในบุคคล ย่อมทำลยคุณวิเศษของตน  เราหรือผู้ที่เหมือนเรา พึงถือประมาณในบุคคลได้.

 

พุทธวจน แก้กรรม  หน้า ๓๘.

(ภาษาไทย) ทสก. อํ. ๒๔/๑๒๖/๗๕. : คลิกดูพระสูตร

 

อานนท์ !  เราจักแสดง  ธรรมปริยยอันชื่อว่แว่นธรรม  ซึ่งหากอริยสาวกผู้ใด ได้ประกอบพร้อมแล้ว เมื่อจำนงจะพยากรณ์ตนเอง  ก็พึงทำได้ในข้อที่ตนเป็น

ผู้มีนรกสิ้นแล้ว มีกำเนิดเดรัจฉานสิ้นแล้ว มีเปรตวิสัยสิ้นแล้ว มีอบาย ทุคติ วินิบาต

สิ้นแล้ว,  ในข้อที่ตนเป็นพระโสดาบัน  ผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา  เที่ยงแท้ต่อ

พระนิพพาน  เป็นผู้มีอันจะตรัสรู้ธรรมได้ในกาลเบื้องหน้า ดังนี้.

อานนท์ !   ก็ธรรมปริยายอันชื่อว่า แว่นธรรมในที่นี้  เป็นอย่างไรเล่า ?

อานนท์ !   อริยสาวกในธรรมวินัยนี้  เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว  ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่นไม่หวั่นไหว  ในองค์พระพุทธเจ้... ในองค์พระธรรม ... ใน  องค์พระสงฆ์...  และ  อริยสาวกในธรรมวินัยนี้   เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยศีลทั้งหลยชนิดเป็นที่พอใจของเหล่อริยเจ้  คือ  เป็นศีลที่ไม่ขาด  ไม่ทะลุ  ไม่ด่าง

ไม่พร้อย  เป็นศีลที่เป็นไทจากตัณหา  เป็นศีลที่ผู้รู้ท่านสรรเสริญ   เป็นศีลที่ทิฏฐิ

ไม่ลูบคลำ  และเป็นศีลที่เป็นไปเพื่อสมาธิ.

อานนท์ !   ธรรมปริยายอันนี้แล  ที่ชื่อว่าแว่นธรรมซึ่งหากอริยสาวกผู้ใดได้ประกอบพร้อมแล้ว  เมื่อจำนงจะพยกรณ์ตนเอง ก็พึงทำได้, ดังนี้แล.

พุทธวจน คู่มือโสดาบัน  หน้า ๒.

(ภาษาไทย) มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๕๙/๑๔๗๙-๑๔๘๐. : คลิกดูพระสูตร

 

 ภิกษุทั้งหลาย !  นะที่ไม่อจเป็นไปได้  ๖ ประก  เหล่านี้  มีอยู่.

หกประการ  เหล่าไหนเล่า ?  หกประการ  คือ : -

ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ   ไม่อจอยู่  อย่งไม่มีควมเครพยำเกรง ในพระศสด;

ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ   ไม่อจอยู่  อย่งไม่มีควมเครพยำเกรง ในพระธรรม;

ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ   ไม่อจอยู่  อย่งไม่มีควมเครพยำเกรง ในพระสงฆ์;

ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ   ไม่อจอยู่  อย่งไม่มีควมเครพยำเกรง ในสิกข;

ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ   ไม่อจ  มสู่อนคมนียวัตถุ(วัตถุที่ไม่ควรเข้);

ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ   ไม่อจ  ยังภพที่แปดให้เกิดขึ้น.

ภิกษุทั้งหลาย !  เหล่านี้แล ฐานะที่ไม่อาจเป็นไปได้ ๖ ประการ.

ภิกษุทั้งหลาย !  ฐานะที่ไม่อาจเป็นไปได้  (โดยธรรมชาติ)   

๖ ประการเหล่านี้ มีอยู่.  หกประการ  เหล่าไหนเล่า ?  หกประการ คือ :-

ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ  ไม่อจเข้ถึงสังขรไรๆ  โดยควมเป็นของเที่ยง;

ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ  ไม่อจเข้ถึงสังขรไรๆ  โดยควมเป็นของสุข;

ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ  ไม่อจเข้ถึงธรรมะไรๆ  โดยควมเป็นตัวตน;

ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ  ไม่อจกระทำอนันตริยกรรม;

ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ  ไม่อจหวังกรถึงควมบริสุทธิ์ โดยโกตุหลมงคล;

ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ  ไม่อจแสวงหทักขิเณยยบุคคลภยนอกจกศสนานี้

ภิกษุทั้งหลาย !  เหล่านี้แล ฐานะที่ไม่อาจเป็นไปได้ ๖ ประการ.

ภิกษุทั้งหลาย !  นะที่ไม่อจเป็นไปได้ ๖ ประกรเหล่านี้ มีอยู่. 

หกประการ เหล่าไหนเล่า หกประการ คือ : -

ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ  ไม่อจมสู่ทิฏฐิ ว่สุขและทุกข์ ตนทำเอง”;

ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ  ไม่อจมสู่ทิฏฐิ ว่สุขและทุกข์ ผู้อื่นทำให้”;

ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ  ไม่อจมสู่ทิฏฐิ ว่สุขและทุกข์ ตนทำเองก็มี

    ผู้อื่นทำให้ก็มี”;

ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ  ไม่อจมสู่ทิฏฐิ ว่สุขและทุกข์ไม่ต้องทำเอง

    เกิดขึ้นได้ตมลำพัง”;

ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ  ไม่อจมสู่ทิฏฐิ ว่สุขและทุกข์ไม่ต้องใครอื่นทำให้

    เกิดขึ้นได้ตมลำพัง”;

ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ  ไม่อจมสู่ทิฏฐิ ว่สุขและทุกข์ไม่ต้องทำเองและไม่ต้อง

    ใครอื่นทำให้ เกิดขึ้นได้ตมลำพัง”.

ข้อนั้น  เพราะเหตุไรเล่า ?

ภิกษุทั้งหลาย !  ข้อนั้นเพราะเหตุว่า   เหตุ  (แห่งสุขและทุกข์)  อันผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ เห็นแล้ว โดยแท้จริง และธรรมทั้งหลาย  ก็เป็นสิ่งที่เกิดมาแต่เหตุด้วย.

ภิกษุทั้งหลาย !  เหล่านี้แล ฐานะที่ไม่อาจเป็นไปได้ ๖ ประการ.

พุทธวจน คู่มือโสดาบัน  หน้า ๑๑๐.

(ภาษาไทย) ฉกฺก. อํ. ๒๒/๓๙๒/๓๖๓-๓๖๔.,๓๖๖ : คลิกดูพระสูตร

 

 

ภิกษุทั้งหลาย ! ในบรรดาลัทธิทั้ง ๓ นั้น สมณพราหมณ์พวกใดมีถ้อยคำและความเห็นว่า

บุคคลได้รับสุขหรือทุกข์ หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์ ทั้งหมดนั้น เป็นเพร

อิศวรเนรมิตให้(อิสฺสรนิมฺมานเหตูติ)ดังนี้ มีอยู่,

 

เราเข้าไปหาสมณพราหมณ์เหล่านั้น แล้วสอบถามความที่เขายังยืนยันอยู่ดังนั้นแล้ว  เรากล่าวกะเขาว่า 

ถ้ากระนั้น  (ในบัดนี้)  คนที่ฆ่าสัตว์ ... ลักทรัพย์ ... ประพฤติผิดพรหมจรรย์ ... พูดเท็จ ... พูดคำหยาบ ... พูดยุให้แตกกัน ... พูดเพ้อเจ้อ ... มีใจละโมบเพ่งเล็ง ...

มีใจพยาบาท มีความเห็นวิปริตเหล่านี้ อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ นั่นก็ต้องเป็นเพราะการเนรมิตของอิศวรด้วย.

เมื่อมัวแต่ถือเอรเนรมิตของอิศวร มเป็นสระสำคัญดังนี้แล้ว

คนเหล่นั้นก็ไม่มีควมอยกทำหรือควมพยทำในข้อที่ว่

สิ่งนี้ควรทำ(กรณียกิจ)

สิ่งนี้ไม่ควรทำ(อกรณียกิจ) อีกต่อไป.

เมื่อกรณียกิจและอกรณียกิจ ไม่ถูกทำหรือถูกละเว้นให้จริงๆ จังๆ กันแล้ว

คนพวกที่ไม่มีสติคุ้มครองตนเหล่นั้น  ก็ไม่มีอะไรที่จะมเรียกตน ว่เป็นสมณะอย่งชอบธรรมได้ดังนี้.

พุทธวจน แก้กรรม  หน้า ๖๓.

(ภาษาไทย) ติก. อํ. ๒๐/๑๖๘/๕๐๑. : คลิกดูพระสูตร

 

 

ภิกษุทั้งหลาย !  เธอทั้งหลายจะสําคัญความขอนี้วาอยางไร :

ฝุนนิดหนึ่งที่เราชอนขึ้นดวยปลายเล็บนี้ กับมหาปฐพีนั้น ขางไหนจะมากกวากัน ?

ขาแตพระองคผูเจริญ !  มหาปฐพีนั่นแหละเปนดินที่มากกวา  ฝุนนิดหนึ่งเทาที่ทรงชอนขึ้นดวย

ปลายพระนขานี้ เปนของมีประมาณนอย ฝุนนั้น เมื่อนําเขาไปเทียบกับมหาปฐพี ยอมไมถึงซึ่ง

การคํานวณได เปรียบเทียบได ไมเขาถึงแมซึ่งสวนเสี้ยว.

 

ภิกษุทั้งหลาย !  อุปมานี้ฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น สัตวที่จุติจากเทวดาไปแลว

จะกลับไปเกิดในหมูมนุษยมีนอย  โดยที่แท   สัตวที่จุติจากเทวดาไปแลว

กลับไปเกิดในนรก กําเนิดเดรัจฉาน เปรตวิสัย มีมากกวาโดยแท.

ขอนั้นเพราะเหตุไรเลา ?

 

ภิกษุทั้งหลาย !  ขอนั้นเพราะความที่สัตวเหลานั้น  ไมเห็นอริยสัจทั้งสี่.

อริยสัจสี่   อยางไรเลา ?   สี่อยางคือ :-

อริยสัจ  คือ  ทุกข

อริยสัจ  คือ  เหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข

อริยสัจ  คือ  ความดับไมเหลือแหงทุกข

อริยสัจ  คือ  ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข.

 

ภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้

เธอพึงประกอบโยคกรรมอันเปนเครื่องกระทําใหรูวา :-

ทุกข เปนอยางนี้

เหตุเกิดขึ้นแหงทุกข เปนอยางนี้

ความดับไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้

ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้ ดังนี้.

พุทธวจน  ภพภูมิ  หน้า ๓๙๒.

(ภาษาไทย) มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๖๗/๑๗๙๒-๑๗๙๔. : คลิกดูพระสูตร

 

 

ภิกษุทั้งหลาย !  อริยสัจ  คือ หนทางเป็นเครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ 

เปนอยางไรเลา ?   คือ

หนทางอันประกอบดวยองคแปดอันประเสริฐ นี้เอง,

องคแปด  คือ  ความเห็นชอบ  ความดําริชอบ  วาจาชอบ  การงานชอบ  

อาชีวะชอบ  ความเพียรชอบ  ความระลึกชอบ  ความตั้งใจมั่นชอบ.

 

ภิกษุทั้งหลาย !  ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) เปนอยางไร ?    

ภิกษุทั้งหลาย ! 

ความรูในทุกข

ความรูในเหตุใหเกิดทุกข  

ความรูในความดับไมเหลือแหงทุกข  

ความรูในหนทางเปนเครื่องใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข   

อันใดนี้เราเรียกวา  ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ).

 

อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้น  หน้า ๑๓๕.

(ภาษาไทย) มหา. ที. ๑๐/๒๓๑/๒๙๙. : คลิกดูพระสูตร

 

ถูกแล้ว ถูกแล้ว อานนท์ !  ตามที่สารีบุตรเมื่อตอบปัญหาในลักษณะนั้นเช่นนั้นชื่อว่าได้ตอบโดยชอบ :

อานนท์ !  ความทุกข์นั้น เรกล่วว่เป็นสิ่งที่อศัยปัจจัยอย่งใดอย่งหนึ่งแล้วเกิดขึ้น (เรียกว่ ปฏิจจสมุปปันนธรรม).

 

ความทุกข์นั้น อาศัยปัจจัย อะไรเล่า ?

ควมทุกข์นั้น อศัยปัจจัย คือ ผัสสะ, ผู้กล่าวอย่างนี้แล 

ชื่อว่า  กล่าวตรงตามที่เรากล่าว  ไม่เป็นการกล่าวตู่เราด้วยคำไม่จริง;

แต่เป็นการกล่าวโดยถูกต้อง และสหธรรมิกบางคนที่กล่าวตาม 

ก็จะไม่พลอยกลายเป็นผู้ควรถูกติไปด้วย …

พุทธวจน แก้กรรม  หน้า ๑๕๒.

(ภาษาไทย) นิทาน. สํ. ๑๖/๓๑/๗๕. : คลิกดูพระสูตร

 

 

คหบดี !  อริยสาวกในธรรมวินัยนี้  ย่อมกระทําไว้ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเทียว ดังนี้ว่า

เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี   เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น

เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี   เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป

ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ

พุทธวจน คู่มือโสดาบัน  หน้า ๑๖.

(ภาษาไทย) ทสก. อํ. ๒๔/๑๕๘/๙๒. : คลิกดูพระสูตร

 

 

ภิกษุทั้งหลาย ! 

ธรรมอันเราแสดงแล้ว  เป็นธรรมอันสมณพราหมณ์ผู้รู้ทั้งหลายข่มขี่ไม่ได้  ทําให้เศร้าหมองไม่ได้   ติเตียนไม่ได้   คัดง้างไม่ได้   เป็นอย่างไรเล่า ?

ผัสสายตนะ ๖ เหล่านี้ คือ

อายตนะเป็นเหตุแห่งผัสสะ คือ ตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ

 

ภิกษุทั้งหลาย ! 

รูป ที่เห็นด้วย ตก็ดี,  เสียง ที่ฟังด้วย หู ก็ดี,  กลิ่น ที่ดมด้วย จมูก ก็ดี, รส  ที่ลิ้ม ด้วย ลิ้น ก็ดี,  โผฏฐัพพะ ที่สัมผัสด้วย กย ก็ดี,  ธรรมรมณ์ ที่รู้แจ้งด้วยใจ ก็ดี, อันเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ เป็นที่ยวนตายวนใจให้รัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ

 

ภิกษุทั้งหลาย ! 

ธรรมอันเราแสดงแล้ว  เป็นธรรมอันสมณพราหมณ์ผู้รู้ทั้งหลายข่มขี่ไม่ได้ 

ทําให้เศร้าหมองไม่ได้   ติเตียนไม่ได้   คัดง้างไม่ได้   เป็นอย่างไรเล่า ?

 

  ภิกษุทั้งหลาย !  ธรรมอันเราแสดงแล้วว่า  เหล่านี้  คือ  อริยสัจทั้งหลาย

๔ ประการ  ดังนี้  เป็นธรรมอันสมณพราหมณ์ผู้รู้ทั้งหลายข่มขี่ไม่ได้   

ทําให้เศร้าหมองไม่ได้  ติเตียนไม่ได้  คัดง้างไม่ได้. ข้อนี้เป็นธรรมที่เรากล่าวแล้วอย่างนี้  เราอาศัยซึ่งอะไรเล่า  จึงกล่าวแล้วอย่างนี้     

ภิกษุทั้งหลาย ! 

เพราะ อาศัยซึ่งธาตุทั้งหลาย  ๖ ประการ  การกาวลงสูครรภยอมมี;

เมื่อ    การกาวลงสูครรภ  มีอยู,   นามรูปยอมมี;  

เพราะ มีนามรูปเปนปจจัย   จึงมีสฬายตนะ

เพราะ มีสฬายตนะเปนปจจัย      จึงมีผัสสะ

เพราะ มีผัสสะเปนปจจัย    จึงมีเวทนา.

ภิกษุทั้งหลาย !  เราย่อมบัญญัติว่า   

นี้    เป็นความทุกข์”   ดังนี้ ;    ว่า  

นี้    เป็นทุกขสมุทัย”  ดังนี้ ;    ว่า 

นี้    เป็นทุกขนิโรธ”   ดังนี้ ;    ว่า 

นี้    เป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา”  ดังนี้ ;   

แก่สัตว์ผู้สามารถเสวยเวทนา.

 

ภิกษุทั้งหลาย !   ทุกขอริยสัจ  เปนอยางไรเลา ?   

แมความเกิด  ก็เปน ทุกข, แมความแก ก็เปนทุกข, แมความตาย ก็เปนทุกข,  

แมโสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย  ก็เปนทุกขการประสบกับสิ่งไมเปนที่รัก เปนทุกขความพลัดพรากจากสิ่งเปนที่รัก เปนทุกขปรารถนาสิ่งใด

แลวไมได สิ่งนั้น นั่นก็เปนทุกข :

กลาวโดยยอ ปญจุปาทานขันธทั้งหลาย เปนทุกข.

ภิกษุทั้งหลาย !  นี้เรากลาววา  ทุกขอริยสัจ.

ภิกษุทั้งหลาย !  ทุกขสมุทยอริยสัจ  เปนอยางไรเลา ?

เมื่อสิ่งนี้มี  สิ่งนี้ย่อมมี

เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้  สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น  

เพราะมีอวิชชา เปนปจจัย จึงมี     สังขารทั้งหลาย ;

เพราะมีสังขาร เปนปจจัย จึงมี      วิญญาณ ;

เพราะมีวิญญาณ     เปนปจจัย จึงมี      นามรูป ;

เพราะมีนามรูปเปนปจจัย จึงมี      สฬายตนะ ;   

เพราะมีสฬายตนะ   เปนปจจัย จึงมี      ผัสสะ ;  

เพราะมีผัสสะ เปนปจจัย จึงมี      เวทนา ;     

เพราะมีเวทนา เปนปจจัย จึงมี     ตัณหา ;    

เพราะมีตัณหา เปนปจจัย จึงมี     อุปาทาน ;

เพราะมีอุปาทาน     เปนปจจัย จึงมี      ภพ ;     

เพราะมีภพ    เปนปจจัย จึงมี      ชาติ ;     

เพราะมีชาติ  เปนปจจัย,  ชรามรณะ  โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส

ทั้งหลาย  จึงเกิดขึ้นครบถวน :   ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้  

ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.  

ภิกษุทั้งหลาย !  นี้เรากลาววา  ทุกขสมุทยอริยสัจ.

 

ภิกษุทั้งหลาย !  ทุกขนิโรธอริยสัจ  เปนอยางไรเลา ? 

เมื่อสิ่งนี้ไม่มี  สิ่งนี้ย่อมไม่มี

เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้  สิ่งนี้จึงดับไป

เพราะความจางคลายดับไปโดยไมเหลือแหงอวิชชานั้นนั่นเทียว.   

    จึงมี   ความดับแหงสังขาร ;

เพราะมี ความดับแหงสังขารจึงมี  ความดับแหงวิญญาณ ;   

เพราะมี ความดับแหงวิญญาณ    จึงมี  ความดับแหงนามรูป ;   

เพราะมี ความดับแหงนามรูป      จึงมี  ความดับแหงสฬายตนะ ;   

เพราะมี ความดับแหงสฬายตนะ  จึงมี  ความดับแหงผัสสะ ;

เพราะมี ความดับแหงผัสสะจึงมี  ความดับแหงเวทนา ;    

เพราะมี ความดับแหงเวทนา      จึงมี  ความดับแหงตัณหา ;   

เพราะมี ความดับแหงตัณหา      จึงมี  ความดับแหงอุปาทาน ;   

เพราะมี ความดับแหงอุปาทาน   จึงมี  ความดับแหงภพ ;    

เพราะมี ความดับแหงภพ  จึงมี  ความดับแหงชาติ ;

เพราะมี ความดับแหงชาตินั่นแล  ชรามรณะ  โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัส

    อุปายาสทั้งหลาย  จึงดับสิ้น

ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้  ยอมมีดวยอาการอยางนี้.

   

ภิกษุทั้งหลาย !  นี้เรากลาววา ทุกขนิโรธอริยสัจ.

 

ภิกษุทั้งหลาย !   ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ  เปนอยางไรเลา ?

มรรคอันประเสริฐ  ประกอบดวยองค  ๘  ประการ  นี้นั่นเอง  กลาวคือ  สัมมาทิฏฐิ   สัมมาสังกัปปะ  สัมมาวาจา   สัมมากัมมันตะ  สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ  สัมมาสติ   สัมมาสมาธิ.

 

ภิกษุทั้งหลาย !   นี้เรากลาววา ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.  

     

ภิกษุทั้งหลาย !  ขอที่วา ธรรมอันเราแสดงแลววาเหลานี้ คือ อริยสัจทั้งหลาย  ๔  ประการ ดังนี้  เปนธรรมอันสมณพราหมณผูรูทั้งหลายขมขี่ไมได

ทําใหเศราหมองไมได    ติเตียนไมได    คัดงางไมได”   ดังนี้อันใด

อันเรากลาว แลว ขอนั้น  เรากลาวหมายถึงขอความดังกลาวมานี้ แล.

 

อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้น  หน้า ๑๐๘.

(ภาษาไทย) ติก. อํ. ๒๐/๑๖๙/๕๐๑.: คลิกดูพระสูตร

 

 ภิกษุทั้งหลาย !     บุคคล   

เมื่อรูเมื่อเห็น  ซึ่ง  จักษุ  ตามที่เปนจริง.   

เมื่อรูเมื่อเห็น  ซึ่ง  รูปทั้งหลาย  ตามที่เปนจริง

เมื่อรูเมื่อเห็น  ซึ่ง  จักขุวิญญาณ  ตามที่เปนจริง,  

เมื่อรูเมื่อเห็น  ซึ่ง  จักขุสัมผัส  ตามที่เปนจริง,  

เมื่อรูเมื่อเห็น  ซึ่ง  เวทนา อันเกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเปนปจจัย

  ( เพราะมี  ผัสสะ  เปนปจจัย   จึงมี  เวทนา ;     

    เพราะมี  ความดับแหงผัสสะ จึงมี  ความดับแหงเวทนา ; )   

อันเปนสุขก็ตาม  เปนทุกขก็ตาม ไมใชทุกขไมใชสุขก็ตาม  ตามที่เปนจริงแลว ;  

เขายอมไมกําหนัดในจักษุไม กําหนัดในรูปทั้งหลาย, ไมกําหนัดในจักขุวิญญาณ, ไมกําหนัดในจักขุสัมผัส, และไมกําหนัดในเวทนาอันเกิดขึ้น เพราะจักขุสัมผัสเปน

ปจจัย  อันเปนสุขก็ตาม  เปนทุกขก็ตาม  ไมใชทุกขไมใชสุขก็ตาม. 

เมื่อบุคคลนั้นไม่กําหนัดแล้ว  ไม่ติดพันแล้ว  ไม่ลุ่มหลงแล้ว  ตามเห็นอาทีนวะ  (โทษของสิ่งเหลานั้น) อยู่เนือง ๆ, ปัญจุปาทานขันธ์ทั้งหลาย  ย่อมถึงซึ่งความไม่ก่อ เกิดต่อไปและตัณหา อันเปนเครื่องนําไปสูภพใหม  อันประกอบอยูดวยความกําหนัดดวยอํานาจความเพลิน   เปนเครื่องทําใหเพลินอยางยิ่งในอารมณนั้น ๆ  นั้นอันเขายอมละเสียได ;

ความกระวนกระวาย(ทรถ)  แม  ทางกาย   อันเขายอมละเสียได

ความกระวนกระวาย  แม  ทางจิต    อันเขายอมละเสียได ;  

ความแผดเผา(สนฺตาป)แม  ทางกาย   อันเขายอมละเสียได,  

ความแผดเผา   แม  ทางจิต   อันเขายอมละเสียได ;  

ความเร่าร้อน(ปริฬาห) แม  ทางกาย  อันเขายอมละเสียได,   

ความเรารอน   แม  ทางจิต    อันเขายอมละเสียได.  

บุคคลนั้นยอม เสวยซึ่งความสุข  อันเปนไป ทางกาย ดวย.

บุคคลนั้นยอม เสวยซึ่งความสุข  อันเปนไป ทางจิต ดวย.

เมื่อบุคคลเห็นเชนนั้นแลว

ทิฏฐิของเขา  ยอมเปน สัมมาทิฏฐิ ; ความดําริของเขา ยอมเปน สัมมาสังกัปปะ;   ความพยายามของเขา ยอมเปน สัมมาวายามะ ; สติของเขา ยอมเปน สัมมาสติ ; สมาธิ ของเขา ยอมเปนสัมมาสมาธิ

สวน กายกรรม  วจีกรรม และ อาชีวะ ของเขา เปนธรรมบริสุทธิ์อยูกอนแลว

ดวยอาการอยางนี้  เปนอันวา  อริยอัฏฐังคิกมรรค  นี้  ของเขานั้น 

ยอมถึงซึ่ง      ความเต็มรอบแห่งความเจริญ.

เมื่อเขาทํา      อริยอัฏฐังคิกมรรค ใหเจริญอยูดวยอาการอยางนี้ …  

ธรรมทั้งสอง   คือ สมถะ และ วิปัสสนา ของเขานั้น ย่อมเป็นธรรมเคียงคู่กันไป. 

บุคคลนั้นยอม  กําหนดรู้   ดวยปญญาอันยิ่งซึ่งธรรมทั้งหลาย

    อันบุคคล   พึงกําหนดรูดวยปญญาอันยิ่ง ;  

บุคคลนั้นยอม  ละ  ดวยปญญาอันยิ่ง ซึ่งธรรมทั้งหลาย

    อันบุคคล   พึงละดวยปญญาอันยิ่ง

บุคคลนั้นยอม  ทําให้เจริญ ดวยปญญาอันยิ่ง ซึ่งธรรมทั้งหลาย

    อันบุคคล   พึงทําใหเจริญดวยปญญาอันยิ่ง;   

บุคคลนั้นยอม  ทําให้แจ้ง   ดวยปญญาอันยิ่ง  ซึ่งธรรมทั้งหลาย

    อันบุคคล   พึงทําใหแจงดวยปญญาอันยิ่ง.

(ในกรณีที่เกี่ยวกับ  โสต  ฆาน  ชิวหา  กาย  มโน  และ  สหคตธรรม แห่งอายตนะมีโสต  เป็นต้น 

ก็มีเนื้อความเหมือนกับที่กลาวแลวในกรณีแหง  จักษุและสหคตธรรมของจักษุ  ดังที่กลาวขางบนนี้

ทุกประการ พึงขยายความใหเต็มตามนั้น).

อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้น  หน้า ๗๙๐.

(ภาษาไทย) อุปริ. ม. ๑๔/๓๙๕/๘๒๘-๘๒๙. : คลิกดูพระสูตร

 

 

 

Today74
Yesterday474
This week548
This month8940
Total2366934

Who Is Online

11
Online