เมื่อเห็นเกิด-ดับ ในขันธ์ทั้ง ๕ แล้ว ทำอย่างไรจึงจะเบื่อ จนหลุดพ้น
ภิกษุทั้งหลาย ! ลําแมน้ำคงคา ลุมไปทางทิศตะวันออก ลาดไปทางทิศตะวันออก เทไปสูทิศตะวันออก ขอนี้แมฉันใด ; ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุ อบรมอินทรียหาอยู กระทําอินทรียหาใหมากอยู ก็ยอมเปนผู ลุมไปทางนิพพาน ลาดไปทางนิพพาน เทไปสูนิพพาน ฉันนั้นเหมือนกัน. ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุ อบรมอินทรียหา กระทําอินทรียหาใหมากอยู ยอมเปน ผูลุมไปทางนิพพาน ลาดไปทางนิพพาน เทไปสูนิพพาน เปนอยางไรเลา ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยอม อบรมอินทรีย คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปญญา, ชนิดที่ อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ นอมไป สูความปลอยวาง. ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ หน้า ๒๙๖. (ภาษาไทย) สํ. ๑๙/๒๖๑/๑๐๘๒-๑๐๘๓. : คลิกดูพระสูตร
ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนต้นไม้ เมื่อสมบูรณ์ด้วยกิ่งและใบแล้ว สะเก็ดเปลือกนอก ก็บริบูรณ์; เปลือกชั้นใน ก็บริบูรณ์; กระพี้ ก็บริบูรณ์; แก่น ก็บริบูรณ์ นี้ฉันใด; ภิกษุทั้งหลาย ! พุทธวจน อินทรียสังวร (ตามดู ! ไม่ตามไป...) หน้า ๗๔. (ภาษาไทย) ฉกฺก. อํ. ๒๒/๓๒๗/๓๒๑. : คลิกดูพระสูตร
เมื่อ อินทรียสังวรมีอยู่, ศีล ก็ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย;
เมื่อ ศีล มีอยู่, สัมมาสมาธิ ก็ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย;
เมื่อ สัมมาสมาธิ มีอยู่, ยถาภูตญาณทัสสนะ ก็ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย;
เมื่อ ยถาภูตญาณทัสนะ มีอยู่, นิพพิทาวิราคะ ก็ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย;
เมื่อ นิพพิทาวิราคะ มีอยู่ วิมุตติญาณทัสสนะก็ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย;
ฉันนั้น เหมือนกันแล.
ภิกษุรูปหนึ่ง ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ธรรมอย่างหนึ่ง มีอยู่หรือไม่หนอ ซึ่งเมื่อภิกษุละได้แล้ว อวิชชาย่อมละไป วิชชาย่อมเกิดขึ้น พระเจ้าข้า ?” ภิกษุ ! เมื่อภิกษุ รูอยู่เห็นอยู่ซึ่งจักษุ โดย ความเป็นของไม่เที่ยง, อวิชชาจึงจะละไป วิชชาจึงเกิดขึ้น; เมื่อภิกษุ รูอยู่เห็นอยู่ ซึ่งรูปทั้งหลาย ...ฯลฯ...; เมื่อภิกษุ รูอยู่เห็นอยู่ ซึ่งจักขุวิญญาณ ...ฯลฯ...; เมื่อภิกษุ รูอยู่เห็นอยู่ ซึ่งจักขุสัมผัส ...ฯลฯ...; เมื่อภิกษุ รูอยู่เห็นอยู่ ซึ่งเวทนา อันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม ที่เกิดขึ้นเพราะ จักขุสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง, อวิชชาจึงจะละไป วิชชาจึงจะเกิดขึ้น; (ในกรณีแห่งโสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมโน ทุกหมวด มีข้อความอย่างเดียวกัน). ภิกษุ ! เมื่อภิกษุรูอยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ อวิชชาจึงจะละไป วิชชาจึงจะเกิดขึ้น. พุทธวจน มรรควิธีที่ง่าย หน้า ๘๙. (ภาษาไทย) สฬา. สํ. ๑๘/๔๙/๙๕. : คลิกดูพระสูตร
ภิกษุทั้งหลาย ! ภาวนาปธาน เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมเจริญ ซึ่ง สติสัมโพชฌงค์... ซึ่ง ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์... ซึ่ง วิริยสัมโพชฌงค์... ซึ่ง ปีติสัมโพชฌงค์... ซึ่ง ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์... ซึ่ง สมาธิสัมโพชฌงค์... ซึ่ง อุเบกขาสัมโพชฌงค์ อัน (แต่ละอย่างๆ) อาศัยวิเวกอาศัยวิราคะอาศัยนิโรธน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า ภาวนาปธาน. พุทธวจน อินทรีย์สังวร หน้า ๕๙. (ภาษาไทย) จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๕/๑๔. : คลิกดูพระสูตร
ภิกษุทั้งหลาย ! โพชฌงค์ทั้ง ๗ อันบุคคลเจริญแล้วทำให้มากแล้วอย่างไรเล่า จึงจะทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้ย่อมเจริญ สติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ (ความจางคลาย) อันอาศัยนิโรธ (ความดับ) อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ (ความสละ, ความปล่อย); ย่อมเจริญ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ; ย่อมเจริญ วิริยสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ; ย่อมเจริญ ปีติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ; ย่อมเจริญ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ; ย่อมเจริญ สมาธิสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ; ย่อมเจริญ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ; ภิกษุทั้งหลาย ! โพชฌงค์ทั้ง ๗ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ย่อมทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้, ดังนี้. มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๔/๑๔๐๒-๑๔๐๓. (หมายเหตุผู้รวบรวม : พระสูตรที่ทรงตรัสเหมือนกันกับพระสูตรข้างบนนี้ ยังมีอีกคือ ปฐมอานันทสูตร มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๑๗-๔๒๓/๑๓๘๑-๑๓๙๘. ทุติยอานันทสูตร มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๓-๔๒๔/๑๓๙๙-๑๔๐๑. ทุติยภิกขุสูตร มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๕/๑๔๐๔-๑๔๐๕.). พุทธวจน มรรควิธีที่ง่าย หน้า ๕๑. (ภาษาไทย) มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๓๙/๑๓๙๘. : คลิกดูพระสูตร
ภิกษุทั้งหลาย ! สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด เมื่อตามระลึก ย่อมตามระลึกถึง ชาติก่อน ได้เป็นอันมาก สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมตามระลึกถึง ซึ่ง อุปาทานขันธ์ทั้งห้า หรือขันธ์ใดขันธ์หนึ่ง แห่งอุปาทานขันธ์ทั้งห้านั้น. ห้าอย่างไรกันเล่า ? ห้าอย่างคือ :- ภิกษุทั้งหลาย ! เขาเมื่อตามระลึกย่อมตามระลึกถึงซึ่งรูปนั่นเทียวว่า “ในอดีตกาลนานไกล เราเป็นผู้มีรูปอย่างนี้” ดังนี้บ้าง; ภิกษุทั้งหลาย ! เขาเมื่อตามระลึกย่อมตามระลึกถึงซึ่งเวทนานั่นเทียวว่า “ในอดีตกาลนานไกล เราเป็นผู้มีเวทนาอย่างนี้” ดังนี้บ้าง; ภิกษุทั้งหลาย ! เขาเมื่อตามระลึกย่อมตามระลึกถึงซึ่งสัญญานั่นเทียวว่า “ในอดีตกาลนานไกล เราเป็นผู้มีสัญญาอย่างนี้” ดังนี้บ้าง; ภิกษุทั้งหลาย ! เขาเมื่อตามระลึกย่อมตามระลึกถึงซึ่งสังขารนั่นเทียวว่า “ในอดีตกาลนานไกล เราเป็นผู้มีสังขารอย่างนี้” ดังนี้บ้าง; ภิกษุทั้งหลาย ! เขาเมื่อตามระลึกย่อมตามระลึกถึงซึ่งวิญญาณนั่นเทียวว่า “ในอดีตกาลนานไกล เราเป็นผู้มีวิญญาณอย่างนี้” ดังนี้บ้าง. ภิกษุทั้งหลาย ! ทำไมเขาจึงกล่าวกันว่า รูป ? ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมชาตินั้น ย่อมสลาย (รุปฺปติ) เหตุนั้นจึงเรียกว่า รูป. สลายเพราะอะไร ? สลายเพราะความเย็นบ้าง เพราะความร้อนบ้าง เพราะความหิวบ้าง เพราะความระหายบ้าง เพราะการสัมผัสกับเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลานบ้าง. ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมชาตินั้นย่อมสลายเหตุนั้นจึงเรียกว่ารูป. ภิกษุทั้งหลาย ! ทำไมเขาจึงกล่าวกันว่าเวทนา ? ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมชาตินั้น อันบุคคลรู้สึกได้ (เวทยติ) เหตุนั้นจึงเรียกว่า เวทนา. รู้สึกซึ่งอะไร ? รู้สึกซึ่งสุขบ้าง ซึ่งทุกข์บ้าง ซึ่งอทุกขมสุขบ้าง. ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมชาตินั้นอันบุคคลรู้สึกได้เหตุนั้นจึงเรียกว่าเวทนา. ภิกษุทั้งหลาย ! ทำไมเขาจึงกล่าวกันว่า สัญญา ? ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมชาตินั้น ย่อมหมายรู้ได้พร้อม (สฺชานาติ) เหตุนั้นจึงเรียกว่า สัญญา. หมายรู้ได้พร้อมซึ่งอะไร ? หมายรู้ ด้พร้อมซึ่งสีเขียวบ้าง ซึ่งสีเหลืองบ้าง ซึ่งสีแดงบ้าง ซึ่งสีขาวบ้าง. ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมชาตินั้นย่อมหมายรู้ได้พร้อมเหตุนั้นจึงเรียกว่าสัญญา. ภิกษุทั้งหลาย ! ทำไมเขาจึงกล่าวกันว่า สังขาร ? ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมชาตินั้น ย่อมปรุงแต่ง (อภิสงฺขโรนฺติ) ให้เป็นของปรุงแต่ง เหตุนั้นจึงเรียกว่าสังขาร. ปรุงแต่งอะไรให้เป็นของปรุงแต่ง ? ปรุงแต่ง รูปให้เป็นของปรุงแต่งโดยความเป็นรูป ปรุงแต่ง เวทนาให้เป็นของปรุงแต่งโดยความเป็นเวทนา ปรุงแต่ง สัญญาให้เป็นของปรุงแต่งโดยความเป็นสัญญา ปรุงแต่ง สังขารให้เป็นของปรุงแต่งโดยความเป็นสังขาร ปรุงแต่ง วิญญาณให้เป็นของปรุงแต่งโดยความเป็นวิญญาณ. ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมชาตินั้นย่อมปรุงแต่งให้เป็นของปรุงแต่ง เหตุนั้นจึงเรียกว่าสังขาร. ภิกษุทั้งหลาย ! ทำไมเขาจึงกล่าวกันว่า วิญญาณ ? ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมชาตินั้น ย่อมรู้แจ้ง (วิชานาติ) เหตุนั้นจึงเรียกว่า วิญญาณ. รู้แจ้งซึ่งอะไร ? รู้แจ้ง ซึ่งความเปรี้ยวบ้าง ซึ่งความขมบ้าง ซึ่งความเผ็ดร้อนบ้าง ซึ่งความหวานบ้าง ซึ่งความขื่นบ้าง ซึ่งความไม่ขื่นบ้าง ซึ่งความเค็มบ้าง ซึ่งความไม่เค็มบ้าง. ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมชาตินั้นย่อมรู้แจ้งเหตุนั้นจึงเรียกว่าวิญญาณ. ภิกษุทั้งหลาย ! ในขันธ์ทั้งห้านั้นอริยสาวกผู้มีการสดับ ย่อมพิจารณาเห็นโดยประจักษ์ชัดดังนี้ว่า “ในกาลนี้ เราถูกรูปเคี้ยวกินอยู่, แม้ในอดีตกาลนานไกล เราก็ถูกรูปเคี้ยวกินแล้ว เหมือนกับที่ถูกรูปอันเป็นปัจจุบันเคี้ยว กินอยู่ในกาลนี้ ฉันใดก็ฉันนั้น. ถ้าเราเพลิดเพลินรูปในอนาคต, แม้ในอนาคตนานไกล เราก็จะถูกรูปเคี้ยวกิน เหมือนกับที่เรา ถูกรูปอันเป็นปัจจุบันเคี้ยวกินอยู่ในกาลนี้ ฉันใดก็ฉันนั้น”. อริยสาวกนั้น พิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมเป็น ผู้ไม่เพ่งต่อรูปอันเป็นอดีต ย่อมเป็น ผู้ไม่เพลิดเพลินรูปอนาคต ย่อมเป็น ผู้ปฏิบัติเพื่อเบื่อหน่ายคลายกำหนัดดับไม่เหลือแห่งรูปอันเป็นปัจจุบัน. (ในกรณีแห่ง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทรงตรัสไว้อย่างเดียวกันแล้วตรัสต่อไปว่า) ภิกษุทั้งหลาย ! เธอจะสำคัญความสำคัญข้อนี้ว่าอย่างไร รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง? “ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า !”. สิ่งใดที่ไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า? “เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า !”. สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอ?ที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า “นั่นของเรานั่นเป็นเรานั่นเป็นอัตตาของเรา”ดังนี้. “ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า !” (ในกรณีแห่ง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีการถามตอบแบบเดียวกัน แล้วตรัสต่อไปว่า) ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีตอนาคตและปัจจุบัน มีในภายในหรือภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม มีในที่ไกลหรือในที่ใกล้ก็ตาม รูปทั้งหมดนั้นบุคคลควรเห็นด้วยปัญญาโดยชอบตามที่เป็นจริงอย่างนี้ว่า “นั่นไม่ใช่ของเรานั่นไม่ใช่เป็นเรานั่นไม่ใช่อัตตาของเรา” ดังนี้. (ในกรณีแห่ง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทรงตรัสไว้อย่างเดียวกันแล้วตรัสต่อไปว่า) ภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวกนี้ เรากล่าวว่า เธอย่อมยุบ-ย่อมไม่ก่อ; ย่อมขว้างทิ้ง-ย่อมไม่ถือเอา; ย่อมทำให้กระจัดกระจาย-ย่อมไม่ทำให้เป็นกอง; ย่อมทำให้มอด-ย่อมไม่ทำให้ลุกโพลง. อริยสาวกนั้น ย่อมยุบ-ย่อมไม่ก่อ ซึ่งอะไร ? เธอ ย่อมยุบ-ย่อมไม่ก่อ ซึ่งรูป ซึ่ง เวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ. อริยสาวกนั้น ย่อมขว้างทิ้ง-ย่อมไม่ถือเอา ซึ่งอะไร ? เธอ ย่อมขว้างทิ้ง-ย่อมไม่ถือเอา ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ. อริยสาวกนั้น ย่อมทำให้กระจัดกระจาย-ย่อมไม่ทำให้เป็นกอง ซึ่งอะไร? เธอ ย่อมทำให้กระจัดกระจาย ย่อมไม่ทำให้เป็นกอง ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ. อริยสาวกนั้น ย่อมทำให้มอด-ย่อมไม่ทำให้ลุกโพลง ซึ่งอะไร ? เธอ ย่อมทำให้มอด-ย่อมไม่ทำให้ลุกโพลง ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ. ภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวกผู้มีการสดับ เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อม เบื่อหน่ายแม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา แม้ในสังขาร แม้ในวิญญาณ. เมื่อ เบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด, เพราะ ความคลายกำหนัดย่อมหลุดพ้น, เมื่อ หลุดพ้นแล้วย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว. อริยสาวกนั้น ย่อมทราบชัดว่า “ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้สำเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มีอีก” ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุ (ผู้ซึ่งหลุดพ้นแล้ว) นี้ เราเรียกว่า ไม่ก่ออยู่ ไม่ยุบอยู่ แต่เป็นอันว่า ยุบแล้ว-ดำรงอยู่; ไม่ขว้างทิ้งอยู่-ไม่ถือเอาอยู่ แต่เป็นอันว่า ขว้างทิ้งแล้ว-ดำรงอยู่; ไม่ทำให้กระจัดกระจายอยู่ ไม่ทำให้เป็นกองอยู่ แต่เป็นอันว่า ทำให้กระจัดกระจายแล้ว ดำรงอยู่; ไม่ทำให้มอดอยู่-ไม่ทำให้ลุกโพลงอยู่ แต่เป็นอันว่า ทำให้มอดแล้ว-ดำรงอยู่. ภิกษุนั้น ไม่ก่ออยู่ ไม่ยุบอยู่แต่เป็นอันว่า ยุบ ซึ่งอะไรแล้ว ดำรงอยู่? เธอ ไม่ก่ออยู่ ไม่ยุบอยู่ แต่เป็นอันว่ายุบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ แล้ว ดำรงอยู่ ภิกษุนั้น ไม่ขว้างทิ้งอยู่ไม่ถือเอาอยู่แต่เป็นอันว่า ขว้างทิ้ง ซึ่งอะไรแล้ว ดำรงอยู่? เธอไม่ขว้างทิ้งอยู่-ไม่ถือเอาอยู่ แต่เป็นอันว่า ขว้างทิ้ง ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ แล้ว ดำรงอยู่. ภิกษุนั้น ไม่ทำให้กระจัดกระจายอยู่ ไม่ทำให้เป็นกองอยู่แต่เป็นอันว่า ทำให้กระจัดกระจาย ซึ่งอะไรแล้ว ดำรงอยู่? เธอไม่ทำให้กระจัดกระจายอยู่-ไม่ทำให้เป็นกองอยู่ แต่เป็นอันว่าทำให้กระจัดกระจายซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ แล้วดำรงอยู่. ภิกษุนั้น ไม่ทำให้มอดอยู่ไม่ทำให้ลุกโพลงอยู่แต่เป็นอันว่าทำให้มอด ซึ่งอะไรแล้ว ดำรงอยู่? เธอไม่ทำให้มอดอยู่-ไม่ทำให้ลุกโพลงอยู่ แต่เป็นอันว่า ทำให้มอด ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ แล้ว ดำรงอยู่. ภิกษุทั้งหลาย ! เทวดาทั้งหลาย พร้อมทั้งอินทร์ พรหม และปชาบดี ย่อมนมัสการภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วอย่างนี้ มาจากที่ไกลเทียว กล่าวว่า “ข้าแต่ท่านบุรุษอาชาไนย ! ข้าแต่ท่านบุรุษผู้สูงสุด ! ข้าพเจ้าขอนมัสการท่าน เพราะข้าพเจ้าไม่อาจจะทราบสิ่งซึ่งท่าน อาศัยแล้วเพ่ง ของท่าน” ดังนี้. พุทธวจน อินทรียสังวร (ตามดู ! ไม่ตามไป...) หน้า ๙๙. (ภาษาไทย ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๑๐/๑๕๘-๑๖๔. : คลิกดูพระสูตร